แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
คดีก่อนโจทก์มีคำขอบังคับให้จำเลยทั้งสองส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนโจทก์หรือใช้ราคาแทนและให้ใช้ค่าเสียหายเป็นค่าขาดประโยชน์ ส่วนคดีนี้ขอให้จำเลยทั้งสองชดใช้ค่าเสียหายในการยึดรถยนต์และค่าเสื่อมราคา ซึ่งเป็นความเสียหายของโจทก์ที่เกิดขึ้นภายหลังจากศาลมีคำพิพากษาในคดีก่อนแล้ว คำขอบังคับจำเลยทั้งสองในคดีนี้จึงต่างจากคำขอบังคับของโจทก์ในคดีก่อน และมิใช่เป็นประเด็นที่ศาลในคดีก่อนได้วินิจฉัยชี้ขาดแล้วโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกัน ทั้งมิใช่กรณีที่จะไปว่ากล่าวในชั้นบังคับคดีในคดีก่อนได้ เพราะการบังคับคดีจะต้องอาศัยคำพิพากษาในคดีก่อนเป็นหลักแห่งคำบังคับ ซึ่งไม่มีหนี้ตามฟ้องโจทก์ในคดีนี้ที่จะบังคับให้จำเลยทั้งสองต้องชำระแก่โจทก์รวมอยู่ด้วย ฟ้องโจทก์คดีนี้จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำกับคดีก่อน
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 23797/2541 ของศาลชั้นต้น ซึ่งพิพากษาให้จำเลยทั้งสองส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนแก่โจทก์ในสภาพเรียบร้อยใช้การได้ดี ถ้าส่งคืนไม่ได้ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ราคาแทนเป็นเงิน 55,000 บาท และให้ร่วมกันชำระค่าเสียหายเป็นค่าขาดประโยชน์เป็นเงิน 10,200บาท และชำระค่าเสียหายให้โจทก์อีกเดือนละ 3,400 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะส่งมอบรถยนต์คืนหรือใช้ราคาแทนจนเสร็จแต่ไม่เกิน 3 เดือน ต่อมาโจทก์ติดตามยึดรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนในสภาพชำรุดทรุดโทรมเสียหายมาก ไม่อยู่ในสภาพเรียบร้อยใช้การได้ดี เสียค่าใช้จ่ายในการติดตามเป็นเงิน 6,000 บาท และโจทก์นำออกประมูลขายทอดตลาดได้เงินเพียง 32,711 บาท เมื่อหักจากราคารถยนต์ที่ศาลชั้นต้นกำหนดให้เป็นค่าที่ทำให้รถยนต์เสื่อมราคาเป็นเงิน 22,289 บาท รวมเป็นค่าเสียหายทั้งสิ้น 28,289บาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระค่าเสียหายจำนวน 28,289 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันถัดจากวันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า มูลหนี้ตามสัญญาเช่าซื้อและสัญญาค้ำประกันที่โจทก์นำมาฟ้องเป็นคดีนี้ ศาลแพ่งได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำเลยทั้งสองร่วมกันรับผิดต่อโจทก์แล้ว จึงห้ามมิให้โจทก์รื้อร้องฟ้องจำเลยทั้งสองเป็นคดีนี้อีก ชอบที่โจทก์จะไปดำเนินการทางเจ้าพนักงานบังคับคดีต่อไป จึงไม่รับคำฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาข้อกฎหมายต้องวินิจฉัยฎีกาของโจทก์ว่าศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับคำฟ้องของโจทก์ชอบหรือไม่ เห็นว่า ตามคำฟ้องของโจทก์ในสำนวนคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 23797/2541 ของศาลชั้นต้น โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยที่ 1 ทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์ไปจากโจทก์ 1 คัน โดยมีจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกันแล้วจำเลยที่ 1 ผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้อตามสัญญา เมื่อสัญญาเช่าซื้อเลิกกันแล้ว จำเลยที่ 1 ยังครอบครองใช้รถยนต์ของโจทก์ต่อไป จึงขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนโจทก์ในสภาพใช้การได้ดี หากไม่สามารถส่งคืนได้ก็ให้ใช้ราคาเป็นเงิน58,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย และให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระค่าเช่าซื้อที่ค้างชำระเป็นเงิน 45,840 บาท พร้อมดอกเบี้ย และใช้ค่าเสียหายเป็นค่าขาดประโยชน์เป็นเงิน 25,200บาท จำเลยทั้งสองขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนโจทก์ในสภาพเรียบร้อยใช้การได้ดี ถ้าส่งคืนไม่ได้ก็ให้ใช้ราคาแทนเป็นเงิน 55,000 บาท และให้ใช้ค่าเสียหายเป็นค่าขาดประโยชน์เป็นเงิน 10,200 บาท และค่าเสียหายเป็นรายเดือนอีกเดือนละ 3,400 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อแต่ไม่เกิน 3 เดือน เห็นว่า ในคดีก่อนโจทก์มีคำขอให้บังคับจำเลยทั้งสองส่งมอบรถยนต์คืนโจทก์หรือใช้ราคาแทนและให้ใช้ค่าเสียหายเป็นค่าขาดประโยชน์ แต่คดีนี้แม้ฟ้องโจทก์จะอ้างมูลเหตุว่าจำเลยทั้งสองเป็นฝ่ายผิดสัญญาเช่าซื้อเช่นเดียวกับคดีก่อนแต่โจทก์ได้บรรยายฟ้องอ้างว่า หลังจากศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาแล้ว จำเลยทั้งสองไม่คืนรถยนต์ที่เช่าซื้อแก่โจทก์ตามคำพิพากษาโจทก์ได้ติดตามไปยึดรถยนต์จากจำเลยทั้งสองต้องเสียค่าใช้จ่ายในการยึดรถไปเป็นเงินจำนวน 6,000 บาท และรถยนต์ที่ยึดกลับคืนมามีสภาพชำรุดเสียหาย โจทก์ได้ขายทอดตลาดไปได้เงินมาเพียง 32,711 บาท รถยนต์เสื่อมราคาไปเป็นเงิน 22,289 บาท ขอให้จำเลยทั้งสองชดใช้ค่าเสียหายในการยึดรถยนต์และค่าเสื่อมราคารวมเป็นเงินจำนวน28,289 บาท พร้อมดอกเบี้ย เห็นว่า ความเสียหายของโจทก์ตามฟ้องคดีนี้เกิดขึ้นภายหลังจากศาลมีคำพิพากษาในคดีก่อนแล้ว คำขอให้บังคับจำเลยทั้งสองตามฟ้องโจทก์คดีนี้จึงต่างจากคำขอให้บังคับจำเลยทั้งสองของโจทก์ในคดีก่อน และมิใช่เป็นประเด็นที่ศาลในคดีก่อนได้วินิจฉัยชี้ขาดแล้วโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกัน ทั้งมิใช่กรณีที่จะไปว่ากล่าวในชั้นบังคับคดีในคดีก่อนได้ เพราะการบังคับคดีจะต้องอาศัยคำพิพากษาในคดีก่อนเป็นหลักแห่งคำบังคับ ซึ่งไม่มีหนี้ตามฟ้องโจทก์ในคดีนี้ที่จะบังคับให้จำเลยทั้งสองต้องชำระแก่โจทก์รวมอยู่ด้วย ดังนั้น ฟ้องโจทก์ในคดีนี้จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำกับคดีก่อน ศาลชั้นต้นจึงต้องมีคำสั่งรับคำฟ้องของโจทก์ไว้พิจารณา ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น”
พิพากษายกคำพิพากษาศาลล่างทั้งสอง ให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับคำฟ้องของโจทก์ไว้พิจารณาและพิพากษาใหม่ตามรูปคดี