คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 712/2559

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 2 สั่งซื้อเมทแอมเฟตามีนของกลางจาก อ. ชาวลาวให้ส่งเมทแอมเฟตามีนนั้นจากสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวเข้ามาในประเทศไทย โดยไม่ได้ความว่าจำเลยที่ 2 กับ อ. เป็นพวกเดียวกันและได้วางแผนแบ่งหน้าที่กันกระทำผิดดังกล่าว ทั้งจำเลยที่ 2 ก็ไม่ได้เดินทางออกไปนอกราชอาณาจักร การกระทำของจำเลยที่ 2 จึงไม่เป็นตัวการร่วมกันกับจำเลยที่ 1 ที่เป็นผู้ขาย แต่ถือเป็นผู้ก่อให้ผู้ขายนำเมทแอมเฟตามีนเข้ามาในราชอาณาจักร จำเลยที่ 2 จึงเป็นผู้ใช้ให้ผู้อื่นกระทำผิดดังกล่าว ข้อเท็จจริงที่พิจารณาได้ความจึงแตกต่างจากฟ้องในสาระสำคัญ ไม่อาจลงโทษฐานเป็นผู้ใช้ให้ผู้อื่นนำเมทแอมเฟตามีนเข้ามาในราชอาณาจักรเพื่อจำหน่ายตามที่พิจารณาได้ความ คงลงโทษได้เพียงฐานเป็นผู้สนับสนุนให้ผู้อื่นกระทำผิด ปัญหาดังกล่าวเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยได้
เจ้าพนักงานตำรวจได้เข้าจับกุมจำเลยทั้งสองโดยที่จำเลยที่ 1 ยังไม่ได้ส่งมอบเมทแอมเฟตามีนของกลางแก่จำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 ยังไม่ได้รับเข้ามาในเงื้อมมือของจำเลยที่ 2 จึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 2 ได้ครอบครองเมทแอมเฟตามีนดังกล่าวเป็นความผิดสำเร็จ แต่การที่จำเลยที่ 2 ไปรอรับเมทแอมเฟตามีนของกลางที่จำเลยที่ 1 นำเข้ามาเพื่อส่งมอบให้ที่จุดนัดหมาย ถือว่าเป็นการกระทำที่ใกล้ชิดต่อความผิดสำเร็จ เข้าขั้นลงมือกระทำผิดแล้ว การกระทำของจำเลยที่ 2 จึงเป็นความผิดฐานพยายามมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ปัญหาดังกล่าวเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อย แม้จำเลยที่ 2 ไม่ได้กล่าวชัดแจ้งในฎีกา ศาลฎีกาก็หยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้ ซึ่งการกระทำผิดของจำเลยที่ 2 ต่อเมทแอมเฟตามีนของกลางดังที่กล่าวมาแล้วทั้งหมดได้ความว่ามีลักษณะเดียวกับที่จำเลยที่ 2 กระทำต่อกัญชาของกลาง ศาลฎีกาเห็นควรพิพากษาให้มีผลตลอดไปถึงการกระทำผิดเกี่ยวกับกัญชาของกลางซึ่งยุติไปแล้วด้วย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 4, 7, 8, 15, 26, 57, 65, 66, 75, 76, 76/1, 91, 102 พระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ.2522 มาตรา 11, 12 (1), 18 วรรคสอง, 62 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 33, 91 ริบเมทแอมเฟตามีน กัญชา และโทรศัพท์เคลื่อนที่ของกลาง กับให้นับโทษจำเลยที่ 2 ในคดีนี้ต่อจากโทษจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1292/2553 ของศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพข้อหาร่วมกันนำกัญชาเข้ามาในราชอาณาจักรเพื่อจำหน่าย ข้อหาร่วมกันมีกัญชาไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต และข้อหาเป็นคนต่างด้าวเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ผ่านช่องทางตามที่กฎหมายกำหนด ส่วนข้อหาอื่นให้การปฏิเสธ
จำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพข้อหาเสพเมทแอมเฟตามีนโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย ข้อหามีกัญชาไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ข้อหาร่วมกันนำกัญชาเข้ามาในราชอาณาจักรเพื่อจำหน่าย และข้อหาร่วมกันมีกัญชาไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต ส่วนข้อหาอื่นให้การปฏิเสธ และรับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่งและวรรคสาม (2), 65 วรรคสอง, 66 วรรคสอง, 26 วรรคหนึ่งและวรรคสอง, 75 วรรคหนึ่ง, 76/1 วรรคสอง ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 และจำเลยที่ 1 มีความผิดตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ.2522 มาตรา 11, 18 วรรคสอง, 62 วรรคหนึ่ง และจำเลยที่ 2 มีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 26 วรรคหนึ่ง, 76 วรรคหนึ่ง, 57, 91 การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานร่วมกันนำเข้าเพื่อจำหน่ายซึ่งเมทแอมเฟตามีนกับฐานร่วมกันมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายซึ่งเมทแอมเฟตามีนเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานร่วมกันนำเข้าเพื่อจำหน่ายซึ่งเมทแอมเฟตามีน ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ให้ลงโทษประหารชีวิตจำเลยทั้งสอง ฐานร่วมกันนำเข้าซึ่งกัญชากับฐานร่วมกันมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายซึ่งกัญชาเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท แต่ละบทมีอัตราโทษเท่ากัน ให้ลงโทษฐานร่วมกันนำเข้าซึ่งกัญชา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ลงโทษจำคุกจำเลยทั้งสองคนละ 13 ปี และปรับคนละ 1,300,000 บาท จำเลยที่ 1 ฐานเป็นคนต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ผ่านช่องทางตามที่กฎหมายกำหนด จำคุก 6 เดือน จำเลยที่ 2 ฐานเสพเมทแอมเฟตามีน จำคุก 6 เดือน และฐานมีกัญชาไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุก 3 เดือน จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพฐานร่วมกันนำเข้าซึ่งกัญชา จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพฐานเป็นคนต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ผ่านช่องทางตามที่กฎหมายกำหนด จำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพฐานเสพเมทแอมเฟตามีนและฐานมีกัญชาไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ฐานร่วมกันนำเข้าซึ่งกัญชา คงจำคุกจำเลยทั้งสองคนละ 6 ปี 6 เดือน และปรับคนละ 650,000 บาท จำเลยที่ 1 ฐานเป็นคนต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ผ่านช่องทางตามที่กฎหมายกำหนด คงจำคุก 3 เดือน จำเลยที่ 2 ฐานเสพเมทแอมเฟตามีน คงจำคุก 3 เดือน และฐานมีกัญชาไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต คงจำคุก 1 เดือน 15 วัน ส่วนความผิดฐานร่วมกันนำเข้าเพื่อจำหน่ายซึ่งเมทแอมเฟตามีน ทางนำสืบของจำเลยทั้งสองเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบมาตรา 52 (1) คงจำคุกจำเลยทั้งสองคนละตลอดชีวิต เมื่อจำคุกจำเลยทั้งสองคนละตลอดชีวิตแล้วก็ไม่อาจนำโทษจำคุกในความผิดกระทงอื่นมารวมอีกได้ คงให้จำคุกจำเลยทั้งสองคนละตลอดชีวิตสถานเดียว และปรับคนละ 650,000 บาท ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 หากมีการกักขังแทนค่าปรับให้กักขังไม่เกิน 2 ปี ให้นับโทษจำคุกตลอดชีวิตของจำเลยที่ 2 ในคดีนี้ต่อจากโทษจำคุกจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1292/2553 ของศาลชั้นต้น ริบกัญชา เมทแอมเฟตามีนและโทรศัพท์เคลื่อนที่ของกลาง
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์แผนกคดียาเสพติดพิพากษายืน
จำเลยที่ 2 ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นในชั้นนี้รับฟังยุติว่า ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุในฟ้อง จำเลยที่ 1 เป็นคนสัญชาติลาว ได้นั่งเรือเดินทางจากสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวข้ามแม่น้ำโขงมาขึ้นที่ฝั่งราชอาณาจักรไทยในเขตตำบลโพนสา อำเภอท่าบ่อ จังหวัดหนองคาย แล้วถูกจับพร้อมกับจำเลยที่ 2 และยึดได้กัญชาแห้ง 20 แท่ง เมทแอมเฟตามีน 397 เม็ด โทรศัพท์เคลื่อนที่ 3 เครื่อง และเงินสด 1,700 บาท เป็นของกลาง ต่อมาวันที่ 14 ธันวาคม 2553 เจ้าพนักงานตำรวจได้นำจำเลยทั้งสองกลับไปตรวจค้นบริเวณที่เกิดเหตุอีกครั้งพบเมทแอมเฟตามีน 402 เม็ด หลังจากนั้นได้พาจำเลยที่ 2 ไปตรวจค้นบ้านของจำเลยที่ 2 ที่ตำบลบ้านธาตุ อำเภอเพ็ญ จังหวัดอุดรธานี พบกัญชา 1 ห่อ น้ำหนัก 9.440 กรัม ใบนำฝากเงินของธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) 7 แผ่น และทรัพย์สินอื่นจึงยึดไว้เป็นของกลาง กล่าวหาว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันนำเมทแอมเฟตามีนเข้ามาในราชอาณาจักรเพื่อจำหน่าย ร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย ร่วมกันนำกัญชาเข้ามาในราชอาณาจักรเพื่อจำหน่าย ร่วมกันมีกัญชาไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต จำเลยที่ 1 เป็นคนต่างด้าวเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ผ่านช่องทางตามที่กฎหมายกำหนด จำเลยที่ 2 มีกัญชาไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต และเสพเมทแอมเฟตามีน จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพ เว้นแต่ข้อหาร่วมกันนำเมทแอมเฟตามีนเข้ามาในราชอาณาจักรเพื่อจำหน่ายและร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ เมทแอมเฟตามีนของกลางตรวจพิสูจน์แล้วคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้ 12.378 กรัม ตามรายงานการตรวจพิสูจน์ ส่วนกัญชา 1 ห่อ น้ำหนัก 9.440 กรัม และกัญชา 20 แท่ง คิดเป็นน้ำหนักรวม 19.600 กิโลกรัม ตามรายงานการตรวจพิสูจน์ มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 2 เฉพาะในข้อหาความผิดฐานร่วมกันนำเมทแอมเฟตามีนเข้ามาในราชอาณาจักรเพื่อจำหน่ายและมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ที่มีสาระสำคัญว่า จำเลยที่ 2 ไม่ได้ติดต่อสั่งซื้อเมทแอมเฟตามีนของกลาง จำเลยที่ 1 อาจไม่ได้ติดต่อหรือรับจ้างขนส่งยาเสพติดให้แก่จำเลยที่ 2 คนเดียว และจำเลยที่ 1 ไม่มีเจตนาจะส่งเมทแอมเฟตามีนของกลางให้แก่จำเลยที่ 2 กรณีดังกล่าวได้ความตามบันทึกคำให้การของจำเลยที่ 1 ในชั้นสอบสวนว่า ในวันเกิดเหตุ เวลา 17.30 นาฬิกา ท้าวอ้าย ราษฎรชาวลาว ไปที่บ้านจำเลยที่ 1 ที่สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว จ้างให้จำเลยที่ 1 นำกระสอบบรรจุกัญชาและเมทแอมเฟตามีนบรรจุในถุงพลาสติกสีฟ้าพันดัวยเทปพันสายไฟสีดำ 1 ห่อ ไปวางไว้ที่หลักกิโลเมตรที่ 22 ถนนสายบ้านโพนสา – ท่ามะเฟือง สักครู่จำเลยที่ 2 ก็โทรศัพท์ติดต่อจำเลยที่ 1 ถามว่ามาหรือยัง จำเลยที่ 1 บอกว่ามาแล้ว และบอกจำเลยที่ 2 ว่าจะเอากัญชากับเมทแอมเฟตามีนไปวางไว้ที่หลักกิโลเมตรที่ 22 ริมถนน แล้วจะกลับสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว จากนั้นจำเลยที่ 1 ว่าจ้างเรือหางยาวบรรทุกกระสอบกัญชาและเมทแอมเฟตามีนไปที่ฝั่งประเทศไทยบริเวณบ้านโพนสา เมื่อถึงฝั่งจำเลยที่ 1 แบกกระสอบกัญชาและห่อเมทแอมเฟตามีนขึ้นฝั่งไปประมาณ 10 เมตร พบจำเลยที่ 2 ที่มารับสิ่งของซึ่งต่อมาก็ถูกจับทั้งสองคน รายละเอียดปรากฏตามบันทึกคำให้การ เห็นว่า จำเลยที่ 1 เป็นคนลาว ในชั้นสอบสวนไม่ต้องการล่ามแปลทำนองเดียวกับการเบิกความต่อศาลในชั้นพิจารณา เชื่อว่าพยานปากนี้ฟังภาษาไทยได้ดี จำเลยที่ 1 ได้ให้การต่อพนักงานสอบสวนหลังเกิดเหตุในเวลาไม่นาน มีรายละเอียดมากมาย ไม่เชื่อว่าพนักงานสอบสวนจะไปปั้นแต่งเรื่องขึ้นเอง ซึ่งข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นก็มีขั้นตอนสอดคล้องกับคำให้การของจำเลยที่ 2 ตามบันทึกคำให้การ ในสาระสำคัญ ไม่ปรากฏว่าการสอบสวนไม่ชอบอย่างไร คำให้การในชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 1 จึงมีน้ำหนักให้รับฟังได้ ตามบันทึกคำให้การของจำเลยที่ 1 ดังกล่าวนั้น เมื่อจำเลยที่ 1 รับกัญชาและเมทแอมเฟตามีนของกลางจากท้าวอ้ายแล้ว ไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ได้ติดต่อนัดหมายกับผู้ใดอีก ในชั้นพิจารณาที่จำเลยที่ 1 อ้างตนเองเบิกความเป็นพยานก็ไม่ได้เบิกความว่าจะนำเมทแอมเฟตามีนของกลางไปส่งแก่ผู้อื่นที่มีตัวตนอยู่จริงแต่อย่างใด คงอ้างแต่เพียงว่าจำเลยที่ 1 ไม่ได้นำเมทแอมเฟตามีนของกลางเข้ามาด้วยเท่านั้น ซึ่งตามพฤติการณ์แห่งคดีไม่มีน้ำหนักให้รับฟังดังที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยโดยละเอียดแล้ว จึงเชื่อว่าเมื่อจำเลยทั้งสองพูดโทรศัพท์ติดต่อกันแล้ว จำเลยที่ 1 ก็ได้นำกัญชาและเมทแอมเฟตามีนของกลางลงเรือหางยาวมาขึ้นฝั่งประเทศไทยในเวลาที่ต่อเนื่องกันทันที โดยที่ระหว่างนั้นจำเลยที่ 1 ไม่ได้ติดต่อกับผู้ใดอีก ซึ่งเมทแอมเฟตามีนของกลางนับว่ามีจำนวนมาก การนำเข้ามาในราชอาณาจักรเป็นความผิดที่มีอัตราโทษสูง หากจำเลยที่ 1 ไม่มีจุดหมายที่จะส่งมอบเมทแอมเฟตามีนนั้นแก่ผู้ใดโดยชัดเจนและโดยเร็วแล้ว ไม่เชื่อว่าจำเลยที่ 1 จะนำเมทแอมเฟตามีนนั้นติดตัวมาด้วย และเมื่อได้ความว่าในวันเกิดเหตุนั้นเองจำเลยที่ 2 ก็ได้โอนเงินเข้าบัญชีของนายจันเพ็ง เป็นค่ายาเสพติดจำนวน 100,000 บาท และมีราษฎรชาวลาวรับเงินไปแล้ว โดยที่ก่อนหน้านั้นก็มีการโอนเงินในลักษณะเดียวกันมาแล้วหลายครั้ง จำนวนมาก ตามใบนำฝากเงิน ซึ่งเงิน 100,000 บาท ที่โอนให้คงมากเกินไปสำหรับการชำระราคาค่ากัญชา 20 แท่ง ที่ซื้อขายกันตามแนวชายแดนนั้น จึงยากจะรับฟังว่าเป็นการซื้อขายกัญชากันแต่เพียงอย่างเดียว และถ้าเป็นการซื้อขายกัญชากันแต่เพียงอย่างเดียว ตามพฤติการณ์จำเลยที่ 2 คงไม่จำต้องไปรับมาด้วยตนเอง และแม้จะไปรับด้วยตนเองก็คงจะต้องจัดเตรียมยานพาหนะที่เหมาะแก่การลักลอบซุกซ่อนขนกัญชานั้นไปด้วย การที่จำเลยที่ 2 นำรถจักรยานยนต์ไปรับยาเสพติดที่สั่งซื้อ กลับทำให้เห็นว่ามีจุดมุ่งหมายสำคัญที่เมทแอมเฟตามีนมากกว่า จำเลยที่ 2 เป็นผู้เกี่ยวข้องทั้งยาเสพติดประเภทเมทแอมเฟตามีนและประเภทกัญชา พฤติการณ์ของจำเลยที่ 2 ดังที่กล่าวมาโดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อเท็จจริงที่ได้ความว่า เมื่อจำเลยที่ 1 ได้รับกัญชาและเมทแอมเฟตามีนของกลางจากท้าวอ้ายแล้วได้ติดต่อกับจำเลยที่ 2 ไม่ได้ติดต่อใครอีก และนำยาเสพติดดังกล่าวมาส่งให้จำเลยที่ 2 ที่บริเวณจุดนัดหมายในเวลาที่ต่อเนื่องกันทันทีดังได้กล่าวแล้ว จึงเชื่อว่านอกจากจำเลยที่ 2 จะสั่งซื้อกัญชาของกลางจากฝ่ายผู้ขายแล้ว จำเลยที่ 2 ยังสั่งซื้อเมทแอมเฟตามีนของกลางจากผู้ขายให้นำเข้ามาด้วย อย่างไรก็ดี ข้อเท็จจริงได้ความชัดเจนเพียงว่า จำเลยที่ 2 สั่งซื้อเมทแอมเฟตามีนของกลางจากท้าวอ้ายราษฎรชาวลาวให้ส่งเมทแอมเฟตามีนนั้นจากสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวเข้ามาในประเทศไทย โดยไม่ได้ความว่าจำเลยที่ 2 กับท้าวอ้ายเป็นพวกเดียวกันและได้วางแผนแบ่งหน้าที่กันกระทำผิดดังกล่าว ทั้งจำเลยที่ 2 ก็ไม่ได้เดินทางออกไปนอกราชอาณาจักร การกระทำของจำเลยที่ 2 จึงไม่เป็นตัวการร่วมกันกับจำเลยที่ 1 ที่เป็นฝ่ายผู้ขาย แต่ถือเป็นผู้ก่อให้ผู้ขายนำเมทแอมเฟตามีนเข้ามาในราชอาณาจักร จำเลยที่ 2 จึงเป็นผู้ใช้ให้ผู้อื่นกระทำผิดดังกล่าว ข้อเท็จจริงที่พิจารณาได้ความจึงแตกต่างจากฟ้องในสาระสำคัญ ไม่อาจลงโทษฐานเป็นผู้ใช้ให้ผู้อื่นนำเมทแอมเฟตามีนเข้ามาในราชอาณาจักรเพื่อจำหน่ายตามที่พิจารณาได้ความ คงลงโทษได้เพียงฐานเป็นผู้สนับสนุนให้ผู้อื่นกระทำผิด ปัญหาดังกล่าวเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยได้ นอกจากนี้ตามทางนำสืบของโจทก์ได้ความว่า เจ้าพนักงานตำรวจได้เข้าจับกุมจำเลยทั้งสองโดยที่จำเลยที่ 1 ยังไม่ได้ส่งมอบเมทแอมเฟตามีนของกลางแก่จำเลยที่ 2 ดังที่ดาบตำรวจชวลิต เจ้าพนักงานตำรวจผู้จับกุมเบิกความตอนหนึ่งว่า ก่อนที่จำเลยที่ 1 จะส่งมอบถุงที่แบกมาให้จำเลยที่ 2 ตอนนั้นอยู่ห่างกันประมาณ 1 เมตร พยานกับพวกได้รีบเข้าไปแสดงตัวว่าเป็นเจ้าพนักงานตำรวจและควบคุมตัวจำเลยทั้งสองเอาไว้ทันที จำเลยที่ 1 เห็นเช่นนั้นได้ทิ้งถุงที่แบกมาลงพื้นดิน แล้วใช้มือขวาล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงหยิบเอาสิ่งของออกมาแล้วขว้างทิ้ง ส่วนจำเลยที่ 2 ยืนอยู่คล้ายกับตกใจ ซึ่งเกี่ยวกับสิ่งของที่จำเลยที่ 1 เอาออกมาขว้างทิ้งนั้น ต่อมาเจ้าพนักงานตำรวจยึดได้คือเมทแอมเฟตามีนของกลาง ดังนี้ เกี่ยวกับเมทแอมเฟตามีนของกลาง จำเลยที่ 2 จึงยังไม่ได้รับเข้ามาในเงื้อมมือของจำเลยที่ 2 จึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 2 ได้ครอบครองเมทแอมเฟตามีนดังกล่าวเป็นความผิดสำเร็จ แต่การที่จำเลยที่ 2 ไปรอรับเมทแอมเฟตามีนของกลางที่จำเลยที่ 1 นำเข้ามาเพื่อส่งมอบให้ที่จุดนัดหมาย ถือว่าเป็นการกระทำที่ใกล้ชิดต่อความผิดสำเร็จ เข้าขั้นลงมือกระทำผิดแล้ว การกระทำของจำเลยที่ 2 จึงเป็นความผิดฐานพยายามมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ปัญหาดังกล่าวเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อย แม้จำเลยที่ 2 ไม่ได้กล่าวอ้างชัดแจ้งในชั้นฎีกา ศาลฎีกาก็หยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้ ซึ่งการกระทำผิดของจำเลยที่ 2 ต่อเมทแอมเฟตามีนของกลางดังที่กล่าวมาแล้วทั้งหมดได้ความว่า มีลักษณะเดียวกับที่จำเลยที่ 2 กระทำต่อกัญชาที่นำเข้าของกลาง ศาลฎีกาเห็นควรพิพากษาให้มีผลตลอดไปถึงการกระทำผิดเกี่ยวกับกัญชาของกลางซึ่งยุติไปแล้วด้วย ที่ศาลอุทธรณ์ลงโทษจำเลยที่ 2 มานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยบางส่วน ฎีกาของจำเลยที่ 2 ฟังขึ้นบางส่วน พิพากษาแก้เป็นว่า สำหรับความผิดฐานนำเมทแอมเฟตามีนและกัญชาเข้ามาในราชอาณาจักรเพื่อจำหน่ายและฐานมีเมทแอมเฟตามีนและกัญชาไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำเลยที่ 2 มีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่งและวรรคสาม (2), 65 วรรคสอง, 66 วรรคสอง, 26 วรรคหนึ่งและวรรคสอง, 75 วรรคหนึ่ง, 76/1 วรรคสอง ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80, 86 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานเป็นผู้สนับสนุนผู้อื่นกระทำผิดฐานนำเมทแอมเฟตามีนเข้ามาในราชอาณาจักรเพื่อจำหน่าย และฐานพยายามมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานเป็นผู้สนับสนุนผู้อื่นนำเมทแอมเฟตามีนเข้ามาในราชอาณาจักรเพื่อจำหน่ายซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ให้จำคุกตลอดชีวิต ความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนผู้อื่นนำกัญชาเข้ามาในราชอาณาจักรเพื่อจำหน่ายและฐานพยายามมีกัญชาไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทซึ่งมีโทษเท่ากัน ให้ลงโทษฐานเป็นผู้สนับสนุนผู้อื่นนำกัญชาเข้ามาในราชอาณาจักรเพื่อจำหน่าย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 8 ปี 8 เดือน และปรับ 866,666.66 บาท ลดโทษให้จำเลยที่ 2 ในความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนผู้อื่นนำเมทแอมเฟตามีนเข้ามาในราชอาณาจักรเพื่อจำหน่าย และฐานเป็นผู้สนับสนุนผู้อื่นนำกัญชาเข้ามาในราชอาณาจักรเพื่อจำหน่ายหนึ่งในสามและกึ่งหนึ่ง ตามลำดับ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบมาตรา 53 ฐานเป็นผู้สนับสนุนผู้อื่นนำเมทแอมเฟตามีนเข้ามาในราชอาณาจักรเพื่อจำหน่าย จำคุก 33 ปี 4 เดือน ฐานเป็นผู้สนับสนุนผู้อื่นนำกัญชาเข้ามาในราชอาณาจักรเพื่อจำหน่าย จำคุก 4 ปี 4 เดือน และปรับ 433,333.33 บาท เมื่อรวมกับโทษฐานมีกัญชาไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตและเสพเมทแอมเฟตามีนแล้ว เป็นจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 37 ปี 12 เดือน 15 วัน และปรับ 433,333.33 บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share