คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 712/2492

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 1-2 เป็นพลตำรวจ ได้สมคบกันไปจับผู้เสียหายมา 2 คน บอกว่าสงสัยว่าลักควายของจำเลยที่ 3 และใส่กุญแจมือพามาบ้านจำเลยที่ 4 ในระหว่างเดินทาง จำเลยที่ 1 ได้เอาปืนยาวตีศีรษะผู้เสียหายให้เอาเงินมาคนละ 300 บาท ถ้าไม่ให้จะฆ่าทิ้งเสียในคืนนี้ ผู้เสียหายยอมรับจะให้คนละ 250 บาท แต่เวลานั้นยังไม่มีเงิน จำเลยจึงบอกให้ผู้เสียหายขายควายและให้เอาเรือน ที่บ้านและไร่ยาสูบขายฝากผู้อื่นไว้แล้วจำเลยที่ 1 ก็รับเอาเงินที่ขายควายและขายฝากเรือน ที่บ้านและไร่ยาสูบไป ดังนี้ การกระทำของจำเลยย่อมเป็นความผิดตามมาตรา 270 และมาตรา 136 ฐานใช้อำนาจและตำแหน่งหน้าที่ในทางทุจริต หาใช่เป็นการปล้นทรัพย์ เพราะมิใช่การขู่เข็ญชิงเอาทรัพย์ไปจากความครอบครองของเจ้าทรัพย์ หากแต่เป็นการที่จำเลยบังคับให้เขาให้หรือให้เขาหาทรัพย์ หรือผลประโยชน์อันมิควรจะได้ตามกฎหมายมาให้แก่ตัวมันโดยมันเป็นเจ้าพนักงานใช้อำนาจและตำแหน่งหน้าที่บังคับโดยทางอันมิชอบ
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามกฎหมายลักษณะอาญามาตรา 268,270,301 แต่ข้อเท็จจริงตามฟ้องโจทก์สืบสมว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามมาตรา 270,136 แต่โจทก์อ้างบทหรือมาตราผิด ศาลมีอำนาจลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคสี่

ย่อยาว

ความว่า จำเลยทั้ง 4 คนไปบ้านนายก๋วน จำเลยที่ 1 บอกนายก๋วนว่าถูกสงสัยว่า ลักควายของนายเป๊กจึงจับตัวไปบ้านนายแก้ว และได้จับนายแก้วไปอีกคนหนึ่งและใส่กุญแจมือนายก๋วนติดต่อกัน พอเวลาค่ำก็พากันมาถึงดอยกิ่วทับยาง จำเลยที่ 1 เอาปืนตีศีรษะนายก๋วนนายแก้วบอกให้เอาเงินมาคนละ 300 บาท ถ้าไม่ให้จะฆ่าทิ้งเสียในคืนนี้นายก๋วนนายแก้วยอมรับจะให้คนละ 250 บาท แต่เวลานั้นยังไม่มีเงินแล้วพากันไปบ้านจำเลยที่ 4 ๆ บอกนายก๋วนให้ขายควายแก่นายถาแล้วพากันมาบ้านนายก๋วน นายถานับเงินให้จำเลยที่ 1 เป็นเงิน 250 บาท ส่วนนายแก้วเอาเรือนที่บ้าน และไร่ยาสูบขายฝากไว้กับนายสิงห์250 บาท นายสิงห์ส่งเงินให้จำเลยที่ 1 โจทก์จึงฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 268, 270, 301, 170, 71 แก้ไขมาตรา 7 และใช้เงินแก่ผู้เสียหาย จำเลยปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นเห็นว่า คดีอยู่ในฐานสงสัย พิพากษายกฟ้อง

ศาลอุทธรณ์เห็นว่า จำเลยมีความผิดตามมาตรา 270 กระทงหนึ่งและผิดตามมาตรา 301 ที่แก้ไขมาตรา 7 อีกกระทงหนึ่ง ให้รวมกระทงลงโทษจำเลยไว้คนละ10 ปี และให้ใช้เงินแก่เจ้าทรัพย์ด้วย

จำเลยที่ 1, 2, 3 ฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยมีความผิดตามมาตรา 270 และมาตรา 136 ฐานใช้อำนาจและตำแหน่งหน้าที่ในทางทุจริต อีกกระทงหนึ่ง หาใช่ปล้นทรัพย์ไม่ เพราะมิใช่การบังคับขู่เข็ญ ชิงเอาทรัพย์ไปจากความครอบครองของเจ้าทรัพย์ หากแต่เป็นการที่จำเลยบังคับให้เขาให้หรือให้เขาหาทรัพย์ หรือผลประโยชน์อันมิควรจะได้ตามกฎหมายให้แก่ตัวมัน โดยนับเป็นเจ้าพนักงานใช้อำนาจและตำแหน่ง และหน้าที่บังคับโดยทางมิชอบ ศาลฎีกาเห็นว่าข้อเท็จจริงนั้น โจทก์สืบสม แต่โจทก์อ้างฐานความผิด หรือบทมาตราผิด ศาลจึงมีอำนาจลงโทษจำเลยตามฐานความผิดที่ถูกต้องได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรค 4

พิพากษาแก้ ให้จำคุกจำเลยที่ 1, 2 คนละ 9 ปี ตามบทกฎหมายดังกล่าว จำเลยที่ 3 มีความผิดฐานสมรู้ จึงให้จำคุกไว้ 6 ปี กับให้จำเลยคืนหรือใช้ทรัพย์แก่เจ้าทรัพย์

Share