แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ตามสัญญายอมระหว่างโจทก์กับจำเลยมีใจความสำคัญว่า จำเลยจะขนย้ายบริวารออกไปจากที่ดินที่เช่าและส่งมอบที่ดินคืนแก่โจทก์ภายในวันที่ 30 มิถุนายน 2539 ดังนี้ เมื่อล่วงพ้นเวลาดังกล่าวและยังมีผู้อาศัยในสิ่งปลูกสร้างใน ที่ดินของโจทก์ โจทก์ก็ชอบที่ขอให้บังคับคดีแก่ผู้อยู่อาศัยในสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวในฐานะบริวารของจำเลยได้ ส่วนการที่โจทก์สามารถใช้สิทธิตามสัญญายอมอีกข้อหนึ่งที่ว่า โจทก์อาจเข้าร่วมหรือรับสิทธิของจำเลยในคดีที่จำเลยฟ้องขับไล่บุคคลอื่นออกจากอาคารในที่ดินของโจทก์ก็ย่อมเป็นสิทธิของโจทก์อีกทางหนึ่ง ซึ่งไม่มีเหตุผลใดที่จะจำกัดสิทธิของโจทก์ที่จะขอให้บังคับคดีในคดีนี้ เมื่อศาลชั้นต้นที่พิจารณาคดีนี้กับศาลชั้นต้นในคดีอีก 3 สำนวน ที่จำเลยได้ฟ้องขับไล่ผู้ร้องที่ 1 กับพวก และบุคคลอื่นให้ออกจากอาคารในที่ดินของโจทก์ก็คือศาลชั้นต้นศาลเดียวกัน จึงชอบที่โจทก์จะขอออกหมายบังคับคดีในคดีนี้ได้ เมื่อมีผู้ร้องที่ 1 กับพวก ยื่นคำร้องแสดงอำนาจพิเศษว่าตนมิใช่บริวารของจำเลย ศาลชั้นต้นก็ชอบที่จะไต่สวนและมีคำสั่งไปตามรูปคดีตาม ป.วิ.พ.มาตรา 296 จัตวา (3)
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องและแก้ไขฟ้องว่าจำเลยผิดสัญญาเช่าที่ดินต่างตอบแทนและสัญญาซื้อขายอาคาร โจทก์บอกเลิกสัญญาดังกล่าวแล้วและให้จำเลยชำระค่าเสียหาย แต่จำเลยไม่ชำระ ขอให้บังคับจำเลยชำระค่าเสียหายพร้อมดอกเบี้ยนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระหนี้ให้โจทก์เสร็จสิ้น ให้จำเลยไปจดทะเบียนเพิกถอนสัญญาเช่าที่ดินฉบับลงวันที่ ๒๐ มีนาคม ๒๕๓๒ ณ สำนักงานที่ดินกรุงเทพมหานครกับโจทก์ หากจำเลยไม่ปฏิบัติตาม ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย กับให้จำเลยขนย้ายบริวารออกจากที่ดินที่เช่า จำเลยให้การต่อสู้คดีขอให้ยกฟ้อง ระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้นคู่ความตกลงกันได้ โจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความต่อหน้าศาลชั้นต้น ศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอมและออกคำบังคับให้คู่ความปฏิบัติตามคำพิพากษาตามยอม คดีถึงที่สุดแล้ว
โจทก์ยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้โจทก์ดำเนินการบังคับคดีให้ผู้เช่าที่ดินและอาคารเดิมออกจากสถานที่เช่าแทนจำเลย
ศาลชั้นต้นออกหมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีตามคำร้องของโจทก์
นางสาวสุมล อมรประภาศิริ และนายเล็ก ตันติพงศ์มงคล ยื่นคำร้องว่า ผู้ร้องทั้งสองมีสิทธิอาศัยในอาคารเลขที่ ๖๔๖/๓ แขวงถนนเพชรบุรี เขตพญาไท กรุงเทพมหานคร เพราะผู้ร้องทั้งสองเช่าจากโจทก์ ผู้ร้องทั้งสองจึงไม่ใช่บริวารจำเลย ขอให้งดการบังคับคดีเกี่ยวกับอาคารดังกล่าว
นางกรรณิกา โกสินทรกุล ยื่นคำร้องขอให้งดการบังคับคดีเกี่ยวกับอาคารเลขที่ ๖๔๔/๑-๒ ถนนเพชรบุรี แขวงถนนเพชรบุรี เขตพญาไท กรุงเทพมหานคร ดังกล่าว
นางโปเง็ก แซ่แต้ หรือนางมุกดา องค์วรวิเศษ ยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนการบังคับคดีเกี่ยวกับอาคารเลขที่ ๖๔๔/๔-๕ แขวงถนนเพชรบุรี เขตพญาไท กรุงเทพมหานคร ดังกล่าว
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้งดการไต่สวนแล้ววินิจฉัยว่า โจทก์ชอบที่จะนำหมายบังคับคดีในคดีนี้เข้าสวมสิทธิของจำเลยไปดำเนินการบังคับคดีโดยยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นในคดีหมายเลขแดงที่ ๓๑๒๖/๒๕๓๗ คดีหมายเลขแดงที่ ๘๘๒๓/๒๕๓๔ และคดีหมายเลขแดงที่ ๒๗๔๕๑/๒๕๓๖ ซึ่งเป็นศาลที่ได้พิจารณาตัดสินคดีในชั้นต้น มีอำนาจทำคำวินิจฉัยชี้ขาดอันเกี่ยวด้วยการบังคับคดีตามคำพิพากษา ศาลชั้นต้นในคดีนี้ไม่มีอำนาจทำคำวินิจฉัยชี้ขาดเกี่ยวกับการบังคับคดีตามคำพิพากษาในคดีทั้งสามดังกล่าว จึงไม่รับคำร้องของผู้ร้องทั้งสามด้วย
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน คืนค่าคำร้องให้ผู้ร้องทั้งสาม ค่าฤชาธรรมเนียมอื่นทั้งสองศาลให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาตามฎีกาของโจทก์ว่า โจทก์จะขอให้บังคับคดีแก่บริวารของจำเลยในคดีนี้โดยไม่ต้องไปสวมสิทธิของจำเลยในคดีทั้งสามสำนวนของศาลชั้นต้นที่จำเลยเป็นโจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยในคดีดังกล่าวนั้นได้หรือไม่ ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้ว เห็นว่า ตามสัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างโจทก์กับจำเลยในคดีนี้มีใจความสำคัญว่า จำเลยยอมให้อาคารและสิ่งปลูกสร้างในที่ดินที่เช่าซึ่งเป็นของโจทก์นั้นตกเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ และจำเลยจะขนย้ายบริวารออกไปจากที่ดินที่เช่าและส่งมอบที่ดินที่เช่าคืนแก่โจทก์ภายในวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๓๙ ดังนี้ เมื่อล่วงพ้นเวลาดังกล่าวแล้วยังมีผู้อยู่อาศัยในที่ดินและสิ่งปลูกสร้างของโจทก์ โจทก์ก็ชอบที่จะขอให้บังคับคดีแก่ผู้อยู่อาศัยดังกล่าวในฐานะบริวารของจำเลยได้ตามสิทธิของโจทก์ในคดีนี้ดังที่ศาลชั้นต้นก็ได้ออกหมายบังคับคดีให้โจทก์แล้ว ส่วนการที่โจทก์สามารถใช้สิทธิตามสัญญาประนีประนอมยอมความอีกข้อหนึ่งที่อาจเข้าร่วมหรือรับสิทธิของจำเลยในคดีที่จำเลยฟ้องขับไล่บุคคลอื่นออกจากอาคารในที่ดินของโจทก์นั้น ย่อมเป็นสิทธิของโจทก์ในอีกทางหนึ่งที่โจทก์อาจเลือกใช้ได้ตามแต่โจทก์จะเห็นสมควร แต่ไม่มีเหตุผลอย่างใดที่จะจำกัดสิทธิของโจทก์ที่จะขอบังคับคดีในคดีนี้ เมื่อมีผู้ร้องหลายรายยื่นคำร้องแสดงอำนาจพิเศษว่าตนมิใช่บริวารของจำเลยเนื่องจากเจ้าพนักงานบังคับคดีในคดีนี้ปิดประกาศกำหนดเวลาให้ยื่น ศาลชั้นต้นก็ชอบที่จะดำเนินการไต่สวนและมีคำสั่งไปตามรูปคดี เพราะศาลชั้นต้นในคดีนี้กับศาลชั้นต้นในคดีอีก ๓ สำนวน ตามที่โจทก์อ้างถึงก็คือศาลชั้นต้นศาลเดียวกัน ทั้งมิใช่การขอบังคับคดีในคดีอีก ๓ สำนวน ดังกล่าว แต่เป็นการขอบังคับคดีในคดีนี้ การที่จะให้ผู้ร้องทุกรายไปยื่นคำร้องแสดงอำนาจพิเศษในคดีอีก ๓ สำนวน ดังกล่าว โดยที่ยัง มิได้มีการออกหมายบังคับคดีในคดีเหล่านั้นย่อมเป็นเรื่องที่ไม่ต้องด้วยบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๙๖ จัตวา (๓) คำสั่งศาลชั้นต้นและคำพิพากษาศาลอุทธรณ์จึงไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์และคำสั่งศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นไต่สวนคำร้องของผู้ร้องทุกรายแล้วมีคำสั่งไปตามรูปคดี ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลในชั้นนี้ให้ศาลชั้นต้นรวมสั่งเมื่อมีคำสั่งใหม่.