แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์อ้างว่าสัญญาเช่าที่มิได้ปิดอากรแสตมป์ครบถ้วนซึ่งตามประมวลรัษฎากร ม.118 ว่าจะใช้เป็นพยานหลักฐานมิได้นั้น หากยังมีเอกสรที่ไม่ต้องด้วยข้อห้ามอื่น ๆ อีกพอที่จะรับฟังเป็นหลักฐานได้ว่ามีสัญญาเช่ากันแล้ว เอกสารที่ไม่ต้องด้วยข้อห้ามอื่น ๆ อีกพอที่จะรับฟังเป็นหลักฐานได้ว่าได้มีสัญญาเช่ากันแล้ว เอกสารที่ไม่ใช่สัญญาเช่านั้นถือว่าเป็นหลักฐานพอที่จะบังคับผู้เช่าได้แล้ว
ก.ม.ในเรื่องค้ำประกันไม่ได้บังคับว่าต้องบรรยายควมผิดของผู้ค้ำประกันไว้ แม้ปรากฏว่าเอกสารที่โจทก์ยังมิได้แสดงถึงข้อผูกพันระหว่างผู้ค้ำประกันกับเจ้าหนี้ก็ตามแต่เมื่อมีหนังสือให้ปรากฏว่าเป็นการค้ำประกันก็เป็นหลักฐานแสดงความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าหนี้กับผู้ค้ำประกันแล้ว ผู้ค้ำประกันจึงไม่พ้นจากความผิดฐานเป็นผู้ค้ำประกัน
ศาลชั้นต้นถือเอามติคณะเทศมนตรีลดค่าเช่าที่จำเลยค้างชำระโจทก์ลง 1 ใน 4 คงให้จำเลยทั้งสองชำระเพียง 3 ใน 4 โจทก์อุทธรณ์ขอให้จำเลยทั้งสองชำระเต็มตามสัญญาแต่ก่อนศาลอุทธรณ์พิจารณาโจทก์ยื่นคำร้องว่าไม่สามารถส่งสำเนาอุทธรณ์ให้จำเลยที่ 1ได้ โจทก์ไม่ติดใจที่จะอุทธรณ์เฉพาะจำเลยที่ 1 แต่กระนั้นศาลอุทธรณ์ยังพิพากษาบังคับให้จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ผู้ค้ำประกันร่วมกันใช้ค่าเช่าเต็มตามสัญญาจึงถือว่าเป็นการไม่ชอบเพราะถ้าโจทก์ประสงค์จะว่ากล่าวกับจำเลยที่ 1 ในปัญหาว่าควรลดค่าเช่าหรือไม่แล้วนั้น พิธีการตาม ก.ม.ก็มีอยู่ให้ทำได้แต่โจทก์ไม่ขอให้ทำฉนั้นย่อมถือว่าความผิดของจำเลยที่ 1 ยุติเพียงเท่าที่ศาลชั้นต้นพิพากษาไว้และโดยข้อ ก.ม.ที่ว่าผู้ค้ำประกันไม่ต้องรับผิดชำระหนี้เกินกว่าความรับผิดของลูกหนี้จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันจึงร่วมรับผิดเพียงเท่าที่จำเลยที่ 1 จะต้องชำระเท่านั้น.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ ทำหนังสือสัญญาเช่าท่าเรือโจทก์รวม ๗ ท่าคิดเป็นเงิน ๔๔,๑๖๐ บาท โดยจำเลยที่ ๒ เป็นผู้ค้ำประกัน จำเลยที่ ๑ ชำระค่าเช่าแล้ว ๒๒,๗๒๐ บาท คงค้างอีก ๑๘,๔๔๐ บาท โจทก์มีหนังสือตักเตือนทวงถามหลายครั้งจำเลยทั้งสองบิดพลิ้ว โจทก์จึงฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองใช้เงินค่าเช่าที่ค้างกับดอกเบี้ย
จำเลยที่ ๑ ไม่ยื่นคำให้การและไม่มาศาลในวันพิจารณา
จำเลยที่ ๒ ปฏิเสธว่าไม่เคยทำสัญญาค้ำประกันกับโจทก์ที่ลงชื่อท้ายสัญญาเช่าในฐานะแทนผู้เชื่อเมื่อนำเงินงวดแรกไปชำระ สัญญาเช่าก็ได้ถูกแก้ไขปลอมแปลงเป็นผู้ค้ำประกัน โดยจำเลยไม่ทราบและไม่ให้คำยินยอม จำเลยจึงไม่ควรมีความรับผิดตามสัญญา ทั้งตามสัญญาเช่าก็ไม่ใช่สัญญาค้ำประกันตาม ป.พ.พ. ม.๖๘๐ เพราะทำไม่ถูกแบบ โดยไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือแสดงถึงข้อผูกพัน ถ้าถือว่เป็นสัญญาค้ำประกันโจทก์ก็ได้ผ่อนเวลาให้ลูกหนี้โดยผู้ค้ำประกันไม่ทราบ จำเลยย่อมพ้นความรับผิด โจทก์อาจเรียกร้องให้จำเลยที่ ๑ ชำระหนี้ได้เพราะยังมีตัวอยู่ อนึ่งคณะเทศมนตรีเมืองสมุทรปราการได้ลดค่าเช่าให้จำเลยที่ ๑ ลง ๑ ใน ๔ ของเงินค่าเช่า หักแล้วจำเลยที่ ๑ ยังค้างค่าเช่าอีก ๘,๑๕๐ บาทเท่านั้น โจทก์ไม่ชอบที่จะเรียกร้องเท่าจำนวนในฟ้อง
ศาลจังหวัดสมุทรปราการพิจารณาแล้วฟังว่าจำเลยที่ ๑ ได้ทำหนังสือสัญญาเช่าท่าเรือรายพิพาทของโจทก์เป็นเงินค่าเช่า ๔๑,๑๖๐ บาท โดยคณะเทศมนตรีได้ลดค่าเช่าลง ๑ ใน ๔ และ จำเลยได้ชำระค่าเช่าแล้ว ๒๒,๗๒๐ บาท คงค้างชำระเพียง ๘,๑๕๐ บาทเท่านั้นและฟังต่อไปว่าจำเลยที่ ๒ เป็นผู้ค้ำประกันหนี้รายนี้ และว่าข้อเถียงของจำเลยที่ ๒ ที่ว่าโจทก์ผ่อนเวลาชำระหนี้ให้จำเลยที่ ๑ โดยจำเลยที่ ๒ ไม่ทราบนั้นฟังไม่ขึ้น จำเลยที่ ๒ ต้องรับผิดฐานผู้ค้ำประกัน จึงพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้เงินค่าเช่า ๘,๑๕๐ บาทพร้อมทั้งดอกเบี้ยร้อยละ ๗ ครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเงินเสร็จให้โจทก์
โจทก์และจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิจารณาอุทธรณ์ของจำเลยเห็นด้วยกับศาลชั้นต้นทุกประการทั้งข้อเท็จจริงและข้อ ก.ม.เว้นแต่เรื่องลดค่าเช่าเห็นว่าถึงแม้คณะเทศมนตรีผู้บริหารงานมีอำนาจให้เช่าและลดค่าเช่าท่าเรือ แต่เรื่องนี้ยังถือได้ไม่ว่าได้ลดค่าเช่าให้จำเลย และยังมิได้แจ้งให้จำเลยทราบว่าได้ตกลงลดให้แล้วจำเลยทั้งสองต้องรับผิดใช้เงินค่าเช่าที่ค้าง ๑๘,๔๔๐ บาท จึงพิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้เงิน ๑๘,๔๔๐ บาท พร้อมทั้งดอกเบี้ยร้อยละ ๗ ครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเงินเสร็จให้โจทก์
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาประชุมปรึกษาคดีนี้แล้ววินิจฉัยว่านายเคลิ้ม อินทรัมพรรย์ นายกเทศมนตรีได้ทำสัญญาหมาย จ.๔ ในฐานะผู้แทนของเทศบาลเมืองสมุทรปราการ ไม่ใช่ทำเป็นการส่วนตัวและว่าศาลฎีกาไม่เห็นความจำเป็นต้องใช้เอกสารหมาย จ.๙ ที่โจทก์อ้างประกอบจึงไม่วินิจฉัยข้อฎีกาที่ว่าไม่ควรที่ศาลจะรับฟังเอกสารฉบับนี้ ส่วนเอกสารหมาย จ.๔ เฉพาะตัวสัญญาเช่าที่มิได้ ปิดอากรแสตมป์ครบถ้วนซึ่งประมวลรัษฎากร ม.๑๑๘ ว่าจะใช้เป็นพยานหลักฐานไม่ได้นั้น ศาลฎีกาเห็นว่ายังมีเอกสารที่ไม่ต้องด้วยข้อหามีอีกคือหมาย จ.๘ หนังสือจำเลยที่ ๑ ถึงนายกเทศมนตรี ฯ รับรองว่าเป็นผู้เช่าท่าเรือพิพาทและขอให้ลดค่าเช่ากับหมาย จ.๕ ขอผัดผ่อนเวลาชำระค่าเช่าเท่านี้เป็นหลักฐานพอที่จะบังคับผู้เช่าได้แล้ว ส่วนที่จำเลยที่ ๒ สู้ว่าข้อความในสัญญาเช่าหมาย จ.๔ ไม่ผูกพันจำเลยให้ต้องรับผิด ฐานผู้ค้ำประกันการเช่าท่าเรือพิพาทหนี้ ข้อต่อสู้ของจำเลยที่ ๒ จึงฟังไม่ขึ้น ส่วนข้อที่ว่าเอกสารของกลางมิได้แสดงถึงข้อผูกพันระหว่างผู้ค้ำประกันกับเจ้าหนี้นั้น ก.ม.ในเรื่องค้ำประกันไม่ได้บังคับว่าต้องบรรยายความผิดของผู้ค้ำประกันไว้ ฉนั้นเพียงแต่มีหนังสือให้ปรากฏว่าค้ำประกันก็เป็นหลักฐานแสดงความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าหนี้กับผู้ค้ำประกันแล้ว จำเลยที่ ๒ จึงไม่พ้นความรับผิดฐานผู้ค้ำประกัน
ศาลชั้นต้นได้ถือเอามติคณะเทศมนตรีลดค่าเช่าลง ๑ ใน ๔ คงให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าเช่าเพียง ๓ ใน ๔ แต่ศาลอุทธรณ์บังคับให้จำเลยทั้งสองร่วมมือกันใช้ค่าเช่าเต็มตามสัญญา จำเลยที่ ๒ จึงฎีกาความข้อนี้มาด้วย ศาลฎีกาเห็นว่าการที่โจทก์อุทธรณ์ขอให้จำเลยที่ ๑ ใช้ค่าเช่าเต็มตามสัญญานั้นปรากฏว่าโจทก์ได้ยื่นคำร้องก่อนศาลอุทธรณ์พิจารณาว่าไม่สามารถส่งสำเนาอุทธรณ์ให้จำเลยที่ ๑ ได้ เพราะอพยพไปจากที่อยู่เดิม โจทก์ไม่ติดใจอุทธรณ์เฉพาะจำเลยที่ ๑ กระนั้นศาลอุทธรณ์ยังพิพากษาบังคับจำเลยที่ ๑ ด้วยจึงเป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาเห็นว่าถ้าโจทก์ประสงค์จะว่ากล่าวกับจำเลยที่ ๑ ในปัญหาว่าควรลดค่าเช่าหรือไม่แล้ว พีธีตาม ก.ม.ก็มีอยู่ให้ทำได้ แต่โจทก์ไม่ขอให้ทำ เพราะฉนั้นความรับปิดของจำเลยที่ ๑ จึงยุติเพียงเท่าที่ศาลชั้นต้นพิพากษาไว้โดยข้อ ก.ม. ที่ว่าผู้ค้ำประกันไม่ต้องรับผิดชำระหนี้เกินกว่าความรับผิดของลูกหนี้ ฎีกาของจำเลยที่ ๒ จึงต้องฟังขึ้นว่า จำเลยที่ ๒ ต้องรับผิดใช้ค่าเช่าให้โจทก์เพียง ๓ ใน ๔ ของค่าเช่าตามสัญญา
จึงพิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์โดยให้บังคับคดีตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น