แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยที่ 1 ขับรถยนต์โดยประมาททับขาโจทก์ที่ 3 แพทย์โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้าตรวจแล้วมีความเห็นว่าต้องตัดขาทั้งสองข้างโจทก์ที่ 3 ไม่ยอมให้ตัด ได้ออกจากโรงพยาบาลไปรักษาหมอกระดูกทางไสยศาสตร์อยู่ประมาณ 1 เดือนไม่หาย จึงไปรักษาต่อที่โรงพยาบาลยาสูบแพทย์ได้ตัดขาโจทก์ที่ 3 ทั้งสองข้างการที่โจทก์ที่ 3 ไม่ยอมตัดขาทั้งสองข้างแล้วไปรักษากับหมอกระดูกทางไสยศาสตร์นั้น เป็นเรื่องความเชื่อของโจทก์ที่ 3 ที่จะเลือกรักษาเช่นนั้นได้เมื่อรักษากับหมอกระดูกทางไสยศาสตร์ไม่หายจึงไปรักษาที่โรงพยาบาลยาสูบโดยแพทย์ตัดขาทั้งสองข้าง ย่อมเป็นผลจากการทำละเมิดโดยตรงของจำเลยที่ 1 มิใช่เหตุแทรกซ้อนจำเลยต้องชดใช้ค่ารักษาที่โจทก์ที่ 3 ใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลกับหมอกระดูกทางไสยศาสตร์รวมทั้งค่ารักษาพยาบาลที่โรงพยาบาลทั้งสอง และค่าใช้จ่ายที่มารดาโจทก์ที่ 3 ไปดูแลโจทก์ที่ 3 ขณะรักษาตัวอยู่ในที่ต่างๆและพาโจทก์ที่ 3 ไปยังสถานพยาบาลต่างๆและพากลับบ้านด้วย
ย่อยาว
โจทก์ทั้งสองสำนวนฟ้องมีใจความว่า โจทก์ที่ ๑ จดทะเบียนรับนายวรวุธกัลยาณธรรม เป็นบุตรบุญธรรม โจทก์ที่ ๒ เป็นมารดาของนายวรวุธจำเลยที่ ๑ เป็นลูกจ้างมีหน้าที่ขับรถยนต์ของจำเลยที่ ๒ ส่วนจำเลยที่ ๓ เป็นผู้รับประกันภัยรถยนต์บรรทุกหมายเลขทะเบียน ๙ น-๐๒๙๐ กรุงเทพมหานคร ของจำเลยที่ ๒ เมื่อวันที่ ๒๐ ธันวาคม ๒๕๒๑ เวลากลางวัน จำเลยที่ ๑ ขับรถยนต์คันดังกล่าวไปในทางการที่จ้างของจำเลยที่ ๒ ด้วยความประมาทเฉี่ยวชนรถจักรยานยนต์หมายเลขทะเบียน ๔ ก – ๖๔๖๐ กรุงเทพมหานคร ซึ่งมีนายวรวุธเป็นผู้ขับขี่และโจทก์ที่ ๓ นั่งซ้อนท้ายนายวรวุธ ถึงแก่ความตายทันที ส่วนโจทก์ที่ ๓ ต้องถูกตัดขาทั้งสองข้าง โจทก์ที่ ๑ เสียค่าพาหนะค่าทำศพ ค่าฝังศพ เป็นเงิน ๒๗,๐๖๐ บาท โจทก์ที่ ๒ ขาดค่าอุปการะ เป็นเงิน ๗๒,๐๐๐ บาท โจทก์ที่ ๓ ถูกตัดขาทั้งสองข้างต้องรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลและนอกโรงพยาบาลเป็นเวลา ๔ เดือนเศษ จ่ายค่ายาและค่ารักษาทั้งในโรงพยาบาลและนอกโรงพยาบาลเป็นเงิน ๑๗,๖๘๕ บาท ค่าเก้าอี้สำหรับคนถูกตัดขาและค่าพาหนะเป็นเงิน ๕,๐๐๐ บาท รวมเป็นเงิน ๒๒,๖๘๕ บาท โจทก์ที่ ๓ ไม่สามารถประกอบอาชีพได้ขอคิดค่าขาดรายได้เป็นเงิน ๖๐๐,๐๐๐ บาท และค่าทนทุกข์ทรมาน ๑๐๐,๐๐๐ บาท ขอให้บังคับให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ที่ ๑ จำนวน ๒๗,๐๖๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับตั้งแต่วันที่ ๑ มีนาคม ๒๕๒๒ ซึ่งเป็นวันที่ (จำเลย) ได้รับคำบอกกล่าวจากโจทก์ถึงวันฟ้องเป็นเงิน ๑,๓๔๐ บาท และนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชดใช้ค่าสินไหมทดแทน ค่าอุปการะเลี้ยงดูแก่โจทก์ที่ ๒ ในอัตราเดือนละ ๑,๒๐๐ บาท นับแต่เดือนมกราคม ๒๕๒๒ ถึงเดือนธันวาคม๒๕๒๖ รวม ๕ ปี เป็นเงิน ๗๒,๐๐๐ บาท ให้จำเลยที่ ๓ ชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ที่ ๓ ตามกรมธรรม์ประกันภัยจำนวน ๑๐๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ ให้จำเลยที่ ๒ ชำระค่าเสียหายและค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ที่ ๓ รวม ๗๒๒,๖๘๕ บาท เว้นแต่ถ้าจำเลยที่ ๓ ชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ที่ ๓ เป็นจำนวนเท่าใดก็ให้จำเลยที่ ๒ ชำระเงินจำนวนที่ยังขาดอยู่
จำเลยที่ ๑ ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ ๒ ให้การทั้งสองสำนวนว่า เหตุไม่ได้เกิดจากความประมาทของจำเลยที่ ๑ แต่เกิดจากความประมาทของนายวรวุธ โจทก์ทั้งสามไม่ได้เสียหายมากตามฟ้องโจทก์ที่ ๒ ไม่มีสิทธิเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูแล้ว เพราะโจทก์ที่ ๒ มอบอำนาจการปกครองนายวรวุธให้อยู่ในความดูแลของโจทก์ที่ ๑ ที่โจทก์ที่ ๓ ถูกตัดขาไม่ใช่เนื่องจากได้รับอุบัติเหตุในคดีนี้ แต่เกิดจากโจทก์แทรกซ้อนซึ่งมีอยู่ก่อนและเป็นความประมาทของโจทก์ที่ ๓ ด้วย โจทก์ที่ ๓ จึงไม่มีสิทธิเรียกค่าสินไหมทดแทนจากเหตุที่ต้องเสียขาพิการจำนวน ๑๐๐,๐๐๐ บาท ขอให้ยกฟ้องโจทก์
จำเลยที่ ๓ ให้การทั้งสองสำนวนว่า จำเลยที่ ๓ รับประกันภัยรถยนต์ไว้จากจำเลยที่ ๒ โดยรับผิดชดใช้ค่าสินไหมและความเสียหายให้บุคคลภายนอกแทนจำเลยที่ ๒ แต่ละครั้งรวมทั้งสิ้นไม่เกิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท ขอให้ยกฟ้องโจทก์
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ที่ ๑เป็นเงิน ๒๗,๐๖๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระหนี้ครบถ้วน ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชดใช้ค่าสินไหมทดแทน ค่าขาดไร้อุปการะแก่โจทก์ที่ ๒ เป็นเงิน ๗๒,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระหนี้ครบถ้วน ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันใช้ค่ารักษาพยาบาลค่าเสียหายและค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ที่ ๓ เป็นเงิน ๗๒๑,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระหนี้ครบถ้วน กับให้จำเลยทั้งสามร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมโดยกำหนดค่าทนายความ ๓,๐๐๐ บาท แทนโจทก์ทั้งสามด้วย
จำเลยที่ ๒ และจำเลยที่ ๓ อุทธรณ์ทั้งสองสำนวน
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ที่ ๑ เป็นเงิน ๒๗,๐๖๐ บาท โจทก์ที่ ๒ เป็นเงิน ๗๒,๐๐๐ บาท ให้จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ร่วมกันใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ที่ ๓ เป็นเงิน ๔๘๑,๐๐๐ บาท แต่เฉพาะจำเลยที่ ๓ ให้ร่วมรับผิดต่อโจทก์ที่ ๑ จำนวน ๔,๖๖๕.๐๓ บาท โจทก์ที่ ๒ จำนวน ๑๒,๔๑๒.๕๐ บาท โจทก์ที่ ๓ จำนวน ๘๒,๙๒๒.๔๒ บาท กับให้จำเลยทั้งสามร่วมกันใช้ดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของจำนวนเงินที่จำเลยแต่ละคนจะต้องรับผิดต่อโจทก์ทั้งสามนับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยทั้งสามจะชำระเสร็จ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ร่วมกันใช้ค่าทนายความแทนโจทก์ทั้งสามเป็นเงิน ๒,๐๐๐ บาท
จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ฎีกาทั้งสองสำนวน
ศาลฎีกาวินิจฉัยในเบื้องต้นว่า สำหรับเรื่องค่าเสียหายที่จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ฎีกาว่าโจทก์ทั้งสามไม่เสียหายเท่าศาลอุทธรณ์พิพากษานั้น เห็นว่า ค่าเสียหายเกี่ยวกับค่าทำศพของโจทก์ที่ ๑ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชดใช้แก่โจทก์ที่ ๑ จำนวน ๒๗,๐๖๐ บาท เต็มตามฟ้อง คดีสำหรับโจทก์ที่ ๑ ทุนทรัพย์ที่พิพาทไม่เกินห้าหมื่นบาท จึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๕๘ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย คงมีปัญหาวินิจฉัยเฉพาะฎีกาของจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ในส่วนที่เกี่ยวกับโจทก์ที่ ๒ และโจทก์ที่ ๓ แล้วได้วินิจฉัยฟังข้อเท็จจริงว่า เหตุที่รถยนต์ชนกันเกิดขึ้นเพราะความประมาทของจำเลยที่ ๑ และวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับค่าเสียหายของโจทก์ที่ ๓ ในส่วนของค่ารักษาพยาบาลว่า สำหรับค่าเสียหายของโจทก์ที่ ๓ ข้อเท็จจริงในเบื้องแรกฟังได้ว่ารถยนต์คันที่จำเลยที่ ๑ ขับโดยประมาทเลินเล่อทับขาโจทก์ที่ ๓ ทั้งสองข้าง โจทก์ที่ ๓ ว่าแพทย์โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้าตรวจแล้วมีความเห็นว่าต้องตัดขาขวาตั้งแต่บริเวณเหนือเข่า ส่วนขาซ้ายต้องรอดูผลการรักษาก่อน แต่ต้องตัด จะตัดตั้งแต่บริเวณไหนตอนนั้นยังไม่ทราบ แสดงว่า แพทย์โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้าก็มีความเห็นว่าต้องตัดขาทั้งสองข้างซึ่งโจทก์ที่ ๓ ไม่ยอมให้ตัด จึงได้ออกจากโรงพยาบาลไปรักษาหมอกระดูกทางไสยศาสตร์อยู่ประมาณ ๑ เดือน ไม่หายจึงไปรักษาต่อที่โรงพยาบาลยาสูบ แพทย์ได้ตัดขาโจทก์ที่ ๓ ทั้งสองข้าง เห็นว่าการที่โจทก์ที่ ๓ ไม่ยอมตัดขาทั้งสองข้างตามความเห็นของแพทย์โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้าในตอนแรกแล้วไปรักษาตัวกับหมอกระดูกทางไสยศาสตร์นั้น เป็นเรื่องความเชื่อของโจทก์ที่ ๓ ว่าจะหายได้โดยไม่ต้องตัดขา เป็นสิทธิของโจทก์ที่ ๓ ที่จะเลือกวิธีรักษาเช่นนั้นได้ เมื่อรักษากับหมอกระดูกทางไสยศาสตร์ไม่หายจึงไปรักษาที่โรงพยาบาลยาสูบ โดยแพทย์ตัดขาทั้งสองข้างของโจทก์ที่ ๓ นั้นเห็นว่าเป็นผลจากการทำละเมิดโดยตรงของจำเลยที่ ๑ มิใช่มีเหตุแทรกซ้อนดังจำเลยฎีกาส่วนวิธีการรักษาโดยหมอกระดูกทางไสยศาสตร์ต้องใช้แพทย์แผนปัจจุบันให้การรักษาร่วมด้วยนั้นสุดแท้แต่วิธีการรักษาของแต่ละคน จำเลยก็ไม่ได้นำสืบให้เห็นว่าการรักษาโดยหมอกระดูกทางไสยศาสตร์กรณีของโจทก์ที่ ๓ นั้น ไม่ได้ใช้แพทย์แผนปัจจุบันรักษาร่วมด้วยแต่ประการใด ดังนั้น จำเลยที่ ๒ และจำเลยที่ ๓ ต้องชดใช้ค่ารักษาที่โจทก์ที่ ๓ ต้องใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลกับหมอกระดูกทางไสยศาสตร์ตามจำนวนที่โจทก์ที่ ๓ นำสืบ รวมทั้งค่ารักษาพยาบาลที่โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้าและโรงพยาบาลยาสูบและค่าใช้จ่ายที่มารดาโจทก์ที่ ๓ ไปดูแลโจทก์ที่ ๓ ขณะรักษาตัวอยู่ในที่ต่าง ๆ และพาโจทก์ที่ ๓ ไปยังสถานพยาบาลต่าง ๆ และพาโจทก์ที่ ๓ กลับบ้านด้วย ซึ่งเห็นว่าที่ศาลอุทธรณ์กำหนดค่าเสียหายส่วนนี้ให้ ๒๑,๐๐๐ บาท ชอบแล้ว
พิพากษายืน ให้ยกฎีกาจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ในส่วนที่เกี่ยวกับโจทก์ที่ ๑ คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาสำหรับส่วนที่ยกฎีกาดังกล่าวให้แก่จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ กับให้จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ใช้ค่าทนายความชั้นฎีกาสำนวนละ ๑,๐๐๐ บาท แทนโจทก์สำหรับโจทก์ที่ ๓ เนื่องจากได้ฟ้องคดีอย่างคนอนาถา จึงให้จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ชำระค่าธรรมเนียมศาลที่ต้องใช้แทนโจทก์ที่ ๓ ต่อศาลในนามของโจทก์ที่ ๓