แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า โจทก์ร่วมฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า เป็นฎีกาข้อเท็จจริงต้องห้ามฎีกาจึงไม่รับ
โจทก์ร่วมเห็นว่า โจทก์ร่วมฎีกาเป็นปัญหาข้อกฎหมายทั้งสิ้นกล่าวคือโจทก์ร่วมฎีกาเป็นปัญหาข้อกฎหมายว่าเช็คพิพาทไม่ใช่เช็คค้ำประกัน เมื่อจำเลยสั่งจ่ายเงินตามเช็คจำเลยต้องรับผิดตามข้อความในเช็ค และการที่จำเลยห้ามธนาคารใช้เงินตามเช็ค จำเลยจะมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2497 มาตรา 3 หรือไม่ นอกจากนั้นฎีกาข้อ 2.4 และ 2.5 ก็เป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายเช่นเดียวกันโปรดมีคำสั่งรับฎีกาของโจทก์ร่วม
หมายเหตุ จำเลยยื่นคำแก้อุทธรณ์คำสั่ง (อันดับ 75)
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2497 มาตรา 3 ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91 ฯลฯ
ระหว่างพิจารณา นางประไพคล้ายลำเจียก ผู้เสียหายขอเข้ามาเป็นโจทก์ร่วม ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์ร่วมอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ร่วมฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 70)
โจทก์ร่วมจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 73)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว คดีนี้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์โดยวินิจฉัยว่า จำเลยออกเช็คเป็นประกัน และจำเลยมิได้มีเจตนาทุจริตห้ามธนาคารจ่ายเงินตามเช็ค เป็นการยกฟ้องโจทก์โดยอาศัยข้อเท็จจริง จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220 โจทก์ร่วมฎีกาว่าจำเลยออกเช็คชำระหนี้โดยนำมาแลกเงินสดมิใช่เป็นประกัน จำเลยห้ามธนาคารจ่ายเงินตามเช็คโดยเจตนาทุจริต และไม่สมควรรับฟังพยานเอกสารท้ายอุทธรณ์หมายเลข 1 นั้น เป็นการคัดค้านดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาล จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าวศาลชั้นต้นไม่รับฎีกาของโจทก์ร่วมชอบแล้ว ยกคำร้อง