คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 71/2490

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่สามีทุบตีขับไล่ภรรยาจนถึงภรรยาต้องหนีไปอยู่ที่อื่นนั้นถือได้ว่าสามีได้สละละทิ้งภรรยา
ภรรยาหนีสามีไปอยู่ที่อื่นเพราะเหตุที่สามีสละละทิ้งและได้พาเอาสินสมรสไปด้วยนั้น ภรรยาย่อมมีสิทธิ์เอาทรัพย์สินนั้นจำหน่ายใช้สอยเพื่อการอุปการะเลี้ยงดู และการศึกษาของบุตรได้ตามที่จำเป็น ในกรณีเช่นนี้ ถือว่าเป็นหนี้ร่วมกันในระหว่างสามีภริยานั้นสามีจะฟ้องร้องเรียกสินสมรสคืนไม่ได้

ย่อยาว

ได้ความว่า โจทก์และนางทองหล่อจำเลยเป็นสามีภรรยากันมาประมาณ16 ปี ต่อมาได้เกิดทะเลาะวิวาทกันเพราะโจทก์เมาสุราทุบตีขับไล่นางทองหล่อจึงพาบุตรหนีไปอยู่กับพี่สาว และได้เอาเรือพิพาทนี้ไปด้วยแล้วขายเรือลำนี้ให้แก่นางทงจำเลย โจทก์ฟ้องอ้างว่า เรือลำนี้เป็นสินสมรสระหว่างโจทก์กับนางทองหล่อ ขอให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาเรือนายทงจำเลยต่อสู้ว่า ได้รับซื้อไว้โดยสุจริตไม่ทราบว่าเป็นสินสมรส ส่วนนางทองหล่อได้ร้องสอดเข้ามาเป็นจำเลยร่วมและให้การต่อสู้ว่า เรือลำนี้เป็นสินเดิมของนางทองหล่อได้ขายไปด้วยความจำเป็น เมื่อโจทก์ไม่ทักท้วง ก็ต้องถือว่าได้ยินยอมโดยปริยายแล้ว

ได้ความดังนี้ ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า นางทองหล่อขายเรือด้วยความจำเป็น จึงผูกพันสินบริคณห์ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1470, 1482 โจทก์ไม่มีสิทธิ์บอกล้างนิติกรรมการซื้อขายเรือหรือเรียกเรือคืน พิพากษากลับศาลชั้นต้นให้ยกฟ้อง

โจทก์ฎีกา ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงตามศาลอุทธรณ์ว่า เรือพิพาทลำนี้เป็นสินสมรส เพราะได้ความว่า ได้มาเมื่อโจทก์และนางทองหล่อเป็นสามีภริยากันแล้วและการที่นางทองหล่อมาเสียจากโจทก์นั้นก็ฟังได้ตามข้อต่อสู้ว่า เพราะโจทก์ทุบตีขับไล่ซึ่งเป็นการเพียงพอจะถือว่าโจทก์ได้ละทิ้งตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 39(2) การที่นางทองหล่อขายเรือนั้นไป ก็มีข้ออ้างว่าเอาเงินไปเลี้ยงดูบุตรและตนเองซึ่งมีถึง 6 คน จึงปรับเข้าประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1480,1482 ซึ่งบัญญัติว่าหนี้ค่าอุปการะเลี้ยงดูรักษาพยาบาลครอบครัวและการศึกษาบุตรตามสมควรเป็นหนี้ร่วม ซึ่งภรรยาและสามีต้องรับใช้ ฉะนั้นโจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องเรียกเรือคืนได้ จึงพิพากษายืนตาม

Share