คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7091/2541

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

สัญญากู้ฉบับพิพาทระบุว่า ในกรณีผู้กู้สิ้นสภาพจากการเป็นพนักงานของผู้ให้กู้ไม่ว่าด้วยเหตุใด ๆ และผู้กู้ ยังมีเงินกู้ค้างชำระอยู่ผู้ให้กู้อาจเลือกพิจารณาได้ดังนี้ คือ ให้จ่ายเงินกู้ค้างชำระทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยเต็มจำนวนที่ค้างชำระโดยหักจาก เงินเดือน เงินโบนัสหรือเงินได้อื่น ๆ ที่ผู้กู้มีสิทธิพึงได้รับจากบริษัท (ผู้ให้กู้)ถ้าหากจำนวนดังกล่าวไม่เพียงพอ ผู้กู้จะต้องหาเงินจากที่อื่นมาเพื่อปิดยอดเงินกู้ที่ค้างชำระทั้งสิ้นต่อไป ตามข้อสัญญาดังกล่าว เป็นกรณีที่เมื่อจำเลยมีเงินที่จะได้รับจากโจทก์ ก็ให้ โจทก์หักเงินที่จำเลยมีสิทธิจะได้จากโจทก์ออกจากเงินกู้เพื่อหักกลบลบหนี้กันก่อน เหลือเท่าใด จำเลยก็จะต้องชำระให้โจทก์จนหมดสิ้น เป็นเพียงเงื่อนไขเกี่ยวกับสิทธิของโจทก์ที่จะหักเงินจำนวนใด ๆ ที่จำเลยมีสิทธิได้รับจากโจทก์ชำระหนี้ที่ค้างชำระแก่โจทก์ได้เมื่อจำเลยพ้นสภาพจากการเป็นพนักงานของโจทก์ กรณีมิใช่เป็นเรื่องเกี่ยวกับอำนาจฟ้องของโจทก์ ดังนี้ เมื่อจำเลยพ้นสภาพจากการเป็นพนักงานของโจทก์โดยจำเลยได้กู้เงินไปจากโจทก์ตามสัญญา และจำเลยไม่ชำระหนี้ เงินกู้ให้แก่โจทก์ จึงเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ โจทก์ย่อม มี อำนาจฟ้องจำเลยได้ ส่วนการที่จำเลยได้ให้การต่อสู้คดีว่า จำเลยมีสิทธิได้รับเงินสะสมสวัสดิการ โดยโจทก์จะต้องจ่ายให้แก่จำเลยเมื่อจำเลยพ้นจากการเป็นพนักงานของโจทก์ไปหักชำระหนี้ตามสัญญากู้ยืมตามฟ้องก่อนเป็นการยกข้อต่อสู้ซึ่งสิทธิที่จำเลยจะพึงได้รับเงินสะสมสวัสดิการจากโจทก์ ซึ่งโจทก์ยังมีข้อโต้แย้งอยู่ และจำเลยมิได้ใช้สิทธิเรียกร้องเอาแก่โจทก์โดยการฟ้องแย้งจึงเป็นกรณีที่ศาลไม่อาจบังคับให้ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นพนักงานของโจทก์ เมื่อวันที่3 มิถุนายน 2537 จำเลยได้กู้ยืมเงินจากโจทก์จำนวน750,000 บาท ในอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 9 ต่อปี กำหนดชำระคืนภายใน 5 วัน โดยให้โจทก์หักเงินเดือนของจำเลยเดือนละ13,815 บาท ชำระต้นเงินและดอกเบี้ย ต่อมาจำเลยพ้นจากการเป็นพนักงานของโจทก์และผิดนัดไม่ชำระหนี้แก่โจทก์โจทก์ได้ทวงถามแล้ว แต่จำเลยเพิกเฉย นับถึงวันฟ้องจำเลยค้างชำระต้นเงิน 609,092.43 บาท และดอกเบี้ย 46,608.08 บาทขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 655,700.51 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 21 ต่อปี ของต้นเงิน 609,092.43 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยลาออกจากการเป็นพนักงานของโจทก์เอง โจทก์ต้องนำเงินสะสมสวัสดิการที่ต้องจ่ายคืนจำเลยจำนวน200,000 บาทเศษ ไปหักชำระหนี้ตามสัญญากู้ยืมตามฟ้องก่อนการฟ้องคดีของโจทก์ไม่ถูกต้องและเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องและไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยจากจำเลยในอัตราร้อยละ 21 ต่อปี ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 609,902.43 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 21 ต่อปี นับแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2538จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงินจำนวน609,092.43 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 9 ต่อปี นับแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2538 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คงมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า การที่โจทก์ไม่นำเงินสำรองเลี้ยงชีพที่โจทก์จะต้องจ่ายให้แก่จำเลยจำนวน 200,000 บาทเศษ หักออกจากเงินในสัญญากู้ตามเอกสารหมาย จ.6 ข้อ 7 และ 7.1 ก่อน ขาดเงินอีกเท่าไรและจำเลยไม่ชำระ โจทก์จึงจะมีอำนาจฟ้องนั้น เห็นว่า ตามสัญญาเอกสารหมาย จ.6 ดังกล่าวระบุว่า “ในกรณีผู้กู้สิ้นสภาพจากการเป็นพนักงานของผู้ให้กู้ไม่ว่าด้วยเหตุใด ๆ และผู้กู้ยังมีเงินกู้ค้างชำระอยู่ผู้ให้กู้อาจเลือกพิจารณาได้ดังนี้ ให้จ่ายเงินกู้ค้างชำระทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยเต็มจำนวนที่ค้างชำระโดยหักจากเงินเดือน เงินโบนัส หรือเงินได้อื่น ๆ ที่ผู้กู้มีสิทธิพึงได้รับจากบริษัท (ผู้ให้กู้) ถ้าหากจำนวนดังกล่าวไม่เพียงพอผู้กู้จะต้องหาเงินจากที่อื่นมาเพื่อปิดยอดเงินกู้ที่ค้างชำระทั้งสิ้นต่อไป” ตามข้อสัญญาดังกล่าวเป็นกรณีที่เมื่อจำเลยมีเงินที่จะได้รับจากโจทก์ ก็ให้โจทก์หักเงินที่จำเลยมีสิทธิจะได้จากโจทก์ออกจากเงินกู้เพื่อหักกลบลบหนี้กันก่อน เหลือเท่าใด จำเลยก็จะต้องชำระให้โจทก์จนหมดสิ้น กรณีจึงมิใช่เป็นเรื่องเกี่ยวกับอำนาจฟ้องของโจทก์แต่อย่างใดแต่เป็นเงื่อนไขเกี่ยวกับสิทธิของโจทก์ที่จะหักเงินจำนวนใด ๆ ที่จำเลยมีสิทธิได้รับจากโจทก์ชำระหนี้ที่ค้างชำระแก่โจทก์ได้เมื่อจำเลยพ้นสภาพจากการเป็นพนักงานของโจทก์ เมื่อจำเลยพ้นสภาพจากการเป็นพนักงานของโจทก์โดยจำเลยได้กู้เงินไปจากโจทก์ตามสัญญาเอกสารหมาย จ.6 ดังกล่าวและจำเลยไม่ชำระหนี้เงินกู้ให้แก่โจทก์ จึงเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องจำเลยได้จำเลยได้ให้การต่อสู้คดีว่า จำเลยมีสิทธิได้รับเงินสะสมสวัสดิการในอัตราร้อยละ10 ของเงินทุกเดือน รวมเป็นเงินประมาณ 200,000 บาทโดยโจทก์จะต้องจ่ายให้แก่จำเลยเมื่อจำเลยพ้นจากการเป็นพนักงานของโจทก์ไปหักชำระหนี้ตามสัญญากู้ยืมตามฟ้องก่อนเป็นการยกข้อต่อสู้ซึ่งสิทธิที่จำเลยจะพึงได้รับเงินสะสมสวัสดิการจากโจทก์ ซึ่งโจทก์ยังมีข้อโต้แย้งอยู่ และจำเลยมิได้ใช้สิทธิเรียกร้องเอาแก่โจทก์โดยการฟ้องแย้งแต่อย่างใด จึงเป็นกรณีที่ศาลไม่อาจบังคับให้ได้
พิพากษายืน

Share