คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7087/2546

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

โจทก์ทั้งสี่กับจำเลยทั้งสองตกลงท้ากันให้ศาลชั้นต้นเดินเผชิญสืบที่พิพาท หากศาลเห็นว่าโจทก์ทั้งสี่มีทางเข้าออกสู่ทางสาธารณะทางอื่นนอกจากทางพิพาทแล้ว โจทก์ทั้งสี่ยอมแพ้คดีหากไม่มีทางเข้าออกสู่ทางสาธารณะทางอื่นจำเลยทั้งสองยอมแพ้คดีข้อเท็จจริงปรากฏต่อศาลชั้นต้นในการเดินเผชิญสืบตามที่คู่ความนำชี้ว่านอกจากที่พิพาทที่โจทก์ทั้งสี่ฟ้องว่าเป็นทางแล้ว จำเลยทั้งสองนำชี้มีทางออกสู่ทางสาธารณะอีกสามเส้นทาง ซึ่งแต่ละเส้นทางเป็นทางเดินในสวนมีความกว้างขนาดคนเดินได้ ไม่ใช่ทางเข้าออกของรถยนต์ และต้องผ่านที่ดินของบุคคลอื่น ซึ่งเจ้าของที่ดินไม่ได้ยกที่ดินให้เป็นทางสาธารณะหรือเป็นทางภารจำยอม โจทก์ที่ 1 ย่อมไม่อาจใช้ทางได้โดยชอบเพื่อออกสู่ทางสาธารณะ ซึ่งมีผลเท่ากับไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะได้ ที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าถือไม่ได้ว่าทางดังกล่าวเป็นทางออกสู่ทางสาธารณะตามที่ท้ากัน และพิพากษาให้จำเลยทั้งสองแพ้คดีตามคำท้านั้น ไม่เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นที่คู่ความท้ากัน
ศาลชั้นต้นพิพากษาบังคับให้จำเลยทั้งสองรื้อรั้วลวดหนามและสิ่งกีดขวางออกจากทางพิพาท ถ้าจำเลยทั้งสองไม่รื้อให้โจทก์ที่ 1 เป็นผู้รื้อถอนเองโดยจำเลยทั้งสองร่วมกันเสียค่าใช้จ่ายในการรื้อถอน ดังนั้น หากจำเลยทั้งสองไม่ปฏิบัติตามคำบังคับของศาล โจทก์ที่ 1 มีสิทธิที่จะบังคับคดีต่อไปโดยยื่นคำร้องต่อศาลขอให้ตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีจัดการให้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 296 ทวิ ได้อยู่แล้ว โจทก์ที่ 1 จะขอรื้อถอนเองโดยให้ศาลบังคับจำเลยทั้งสองเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายหาได้ไม่

ย่อยาว

โจทก์ทั้งสี่ฟ้องว่า โจทก์ที่ 1 เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 20473 โจทก์ที่ 2 และที่ 3 ตั้งบ้านเรือนอยู่เลขที่ 70/1 บนที่ดินโฉนดเลขที่ 20456 ของนายไข่ ทิพรสหรือทิพย์รส บิดาโจทก์ที่ 2 โดยนายไข่ทำพินัยกรรมยกให้แก่โจทก์ที่ 3 โจทก์ทั้ง 4 ตั้งบ้านเรือนอยู่เลขที่ 70 บนที่ดินโฉนดเลขที่ 20456 ของนายไข่บิดานายจวน ทิพรส สามีโจทก์ที่ 4 ซึ่งนายไข่ทำพินัยกรรมยกให้แก่เด็กหญิงจินตนา ทิพรส บุตรสาวโจทก์ที่ 4 จำเลยที่ 1 เป็นผู้ครอบครองที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เลขที่ 110จำเลยที่ 2 เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 20495 ที่ดินของโจทก์ที่ 1 ทิศเหนือจดคลองหยวด ทิศใต้จดที่ดินของจำเลยที่ 2 ทิศตะวันออกจดที่ดินของจำเลยที่ 1 และทิศตะวันตกจดที่ดินของนายไข่ ส่วนที่ดินของนายไข่ที่มีบ้านเรือนของโจทก์ที่ 2 ถึงที่ 4ปลูกสร้างทิศเหนือจดคลองหยวดและที่ดินของบุคคลอื่น ทิศใต้จดที่ดินของจำเลยที่ 2ทิศตะวันออกจดที่ดินของโจทก์ที่ 1 และทิศตะวันตกจดที่ดินของบุคคลอื่น ที่ดินของโจทก์ที่ 1 และที่ดินของนายไข่ที่โจทก์ที่ 2 ถึงที่ 4 ปลูกสร้างบ้านเรือนอยู่จึงถูกที่ดินของจำเลยทั้งสองและบุคคลอื่นปิดล้อมทุกด้าน จำเลยที่ 2 ไม่ยอมรื้อรั้วลวดหนามเปิดให้โจทก์ที่ 1 โจทก์ที่ 2 และบริวารเดินออกสู่ทางสาธารณประโยชน์ตามบันทึกเรื่องประนีประนอมยอมความระงับข้อพิพาท เมื่อวันที่ 25 กันยายน 2540 จำเลยที่ 1 กับพี่น้องร่วมกันปิดกั้นที่ดินของจำเลยที่ 1 กว้าง 2 เมตร ยาวจากทิศเหนือมาทิศใต้ 46 เมตร ตามแผนที่พิพาทท้ายฟ้องไม่ให้โจทก์ที่ 1 ที่ 2 ครอบครัวของโจทก์ที่ 4 และบริวารออกสู่ทางสาธารณะ นำผลิตผลออกไปจำหน่าย นำสัมภาระต่าง ๆ เข้าไปในที่ดิน ขอให้พิพากษาว่าทางพิพาทตามแผนที่พิพาทสังเขปท้ายฟ้องในกรอบเส้นสีแดงเป็นทางจำเป็นให้จำเลยทั้งสองรื้อถอนรั้วลวดหนามและสิ่งกีดขวางออกจากทางพิพาท ถ้าจำเลยทั้งสองไม่ปฏิบัติให้โจทก์ทั้งสี่เป็นผู้รื้อถอนเองโดยจำเลยทั้งสองร่วมเสียค่าใช้จ่ายในการรื้อถอน ให้จำเลยทั้งสองไปจดทะเบียนทางจำเป็นเพื่อประโยชน์แก่ที่ดินโฉนดเลขที่ 20473และ 20456 ตำบลกำแพงเซา อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช จังหวัดนครศรีธรรมราชถ้าจำเลยทั้งสองไม่ปฏิบัติให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสอง

จำเลยทั้งสองให้การว่า ทางพิพาทตามฟ้องไม่ใช่ทางจำเป็นที่โจทก์ทั้งสี่จะใช้เป็นทางเข้าออกระหว่างที่ดินโจทก์ทั้งสี่กับถนนสาธารณะ เพราะโจทก์ทั้งสี่ยังมีทางเข้าออกทางอื่นอีกหลายทางทางแรกโดยผ่านที่ดินของนายช่วง กว้าง 8 เมตร รถยนต์ผ่านเข้าออกได้ซึ่งบิดาโจทก์ที่ 1 และที่ 2 ใช้ทางนี้เข้าออกเป็นเวลา 20 ถึง 30 ปี ทางที่สองโดยผ่านที่ดินของนางช่วย สมศรี ซึ่งใช้เป็นทางเดินเท้าและรถจักรยานยนต์ผ่านได้ ทั้งสามทางดังกล่าวโจทก์ทั้งสี่ยังคงใช้เป็นทางเข้าออกสู่ถนนสาธารณะบ้านหยวด-ตำบลท่าดี จนถึงปัจจุบันขอให้ยกฟ้อง

ระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้น โจทก์ทั้งสี่และจำเลยทั้งสองตกลงท้ากันว่าขอให้ศาลเดินเผชิญสืบ หากศาลเห็นว่าโจทก์ทั้งสี่มีทางเข้าออกสู่ทางสาธารณะทางอื่นนอกจากทางพิพาทแล้วโจทก์ทั้งสี่ยอมแพ้คดี หากโจทก์ทั้งสี่ไม่มีทางเข้าออกสู่ทางสาธารณะทางอื่น จำเลยทั้งสองยอมแพ้คดี โดยคู่ความไม่ติดใจสืบพยาน

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ทางพิพาทตามแผนที่สังเขปท้ายฟ้องในกรอบเส้นสีแดงเป็นทางจำเป็นเพื่อประโยชน์ของโฉนดที่ดินเลขที่ 20473 ตำบลกำแพงเซา อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช จังหวัดนครศรีธรรมราช ให้จำเลยทั้งสองรื้อถอนรั้วลวดหนาม และสิ่งกีดขวางออกจากทางพิพาท ถ้าจำเลยทั้งสองไม่รื้อถอนให้โจทก์ที่ 1 เป็นผู้รื้อถอนเองโดยจำเลยทั้งสองร่วมกันเสียค่าใช้จ่ายในการรื้อถอน คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก ให้ยกฟ้องโจทก์ที่ 2 ที่ 3 และที่ 4

จำเลยทั้งสองอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์ที่ 1 ด้วย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

โจทก์ที่ 1 ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ตามฎีกาของโจทก์ที่ 1 มีปัญหาวินิจฉัยว่า คำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 8 ตรงตามคำท้าหรือไม่ปัญหานี้ในชั้นพิจารณาโจทก์ทั้งสี่กับจำเลยทั้งสองตกลงท้ากันให้ศาลชั้นต้นเดินเผชิญสืบที่พิพาท หากศาลเห็นว่า โจทก์ทั้งสี่มีทางเข้าออกสู่ทางสาธารณะทางอื่นนอกจากทางพิพาทแล้ว โจทก์ทั้งสี่ยอมแพ้คดี หากไม่มีทางเข้าออกสู่ทางสาธารณะทางอื่นจำเลยทั้งสองยอมแพ้คดี ตามรายงานกระบวนพิจารณาศาลชั้นต้นวันที่ 9 มิถุนายน 2542 และข้อเท็จจริงปรากฏต่อศาลชั้นต้นในการเดินเผชิญสืบรายงานกระบวนพิจารณาวันที่ 11 สิงหาคม 2542 ตามที่คู่ความนำชี้นอกจากที่พิพาทที่โจทก์ทั้งสี่ฟ้องว่าเป็นทางแล้วจำเลยทั้งสองนำชี้มีทางออกสู่ทางสาธารณะบ้านหยวด-ท่าดี อีกสามเส้นทางคือ ทางที่หนึ่งผ่านที่ดินของนางเจือ ทางที่สองผ่านที่ดินนางช่วย และทางที่สามผ่านที่ดินของนายช่วง ซึ่งแต่ละเส้นทางเป็นทางเดินในสวนยางพารามีความกว้างขนาดคนเดินได้ ไม่ปรากฏร่องรอยว่าเป็นทางเข้าออกของรถยนต์ และทางเข้าออกดังกล่าวจำต้องผ่านที่ดินของบุคคลอื่น โดยไม่ปรากฏว่าทางดังกล่าวนี้เจ้าของที่ดินได้ยกให้เป็นทางสาธารณะหรือตกเป็นทางภารจำยอมข้อเท็จจริงเช่นนี้ย่อมจะเห็นได้ว่า ทางทั้งสามซึ่งเป็นเส้นทางอื่นที่จะออกสู่ทางสาธารณะบ้านหยวด-ท่าดี นั้น จะต้องผ่านที่ดินสวนยางพาราของนางเจือ นางช่วยและนายช่วง ซึ่งไม่ปรากฏว่าเจ้าของที่ดินทั้งสามรายนี้ได้ยกที่ดินเป็นทางดังกล่าวให้เป็นทางสาธารณะหรือเป็นทางภารจำยอม โจทก์ที่ 1 ย่อมไม่อาจใช้ทางทั้งสามนี้ได้โดยชอบเพื่อออกสู่ทางสาธารณะได้ซึ่งมีผลเท่ากับไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะได้ ที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ถือไม่ได้ว่าทางออกดังกล่าวเป็นทางออกสู่ทางสาธารณะตามที่ท้ากัน และพิพากษาให้จำเลยทั้งสองแพ้คดีตามคำท้านั้น ไม่เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นที่คู่ความท้ากัน ดังที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8พิพากษา ฎีกาโจทก์ที่ 1 ฟังขึ้น

ปัญหาต่อไปที่โจทก์ที่ 1 ฎีกาขอให้ศาลฎีกาพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นที่พิพากษาบังคับให้จำเลยทั้งสองรื้อรั้วลวดหนามและสิ่งกีดขวางออกจากทางพิพาท ถ้าจำเลยทั้งสองไม่รื้อให้โจทก์ที่ 1 เป็นผู้รื้อถอนเองโดยจำเลยทั้งสองร่วมกันเสียค่าใช้จ่ายในการรื้อถอนนั้น เห็นว่า หากจำเลยทั้งสองไม่ปฏิบัติตามคำบังคับของศาล โจทก์ที่ 1 มีสิทธิที่จะบังคับคดีต่อไปโดยยื่นคำร้องต่อศาลขอให้ตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีจัดการให้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 296 ทวิ ได้อยู่แล้ว โจทก์ที่ 1 จะขอรื้อถอนเองโดยให้ศาลบังคับจำเลยทั้งสองเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายหาได้ไม่ฎีกาของโจทก์ที่ 1 ในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น”

พิพากษาแก้เป็นว่า ทางพิพาทในที่ดินตามโฉนดที่ดินและในที่ดินตามหนังสือรับรองประโยชน์ตามแผนที่สังเขปท้ายฟ้องในกรอบเส้นสีแดง (กว้าง 4 เมตร ยาว 46 เมตร) เป็นทางจำเป็นแก่ที่ดินโฉนดที่ดินเลขที่ 20473 ตำบลกำแพงเซา อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช จังหวัดนครศรีธรรมราช ของโจทก์ที่ 1 ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันรื้อถอนรั้วลวดหนามและสิ่งกีดขวางออกจากทางพิพาทคำขออื่นให้ยก นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 8 ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share