คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 708/2500

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ใช้ขวานตีศีรษะกระดูกแตกตายในคืนนั้นแต่ไม่ปรากฏว่าขวานใหญ่ขนาดไหน แผลลึกแค่ไหนยังไม่พอแสดงว่าจำเลยมีเจตนาฆ่า

ย่อยาว

คดีเรื่องนี้โจทก์ฟ้องกล่าวความว่า เมื่อวันที่ 15 เมษายน 2497 เวลากลางคืนหลังเที่ยง จำเลยผู้ซึ่งเป็นทหารประจำการ สังกัด ป.พัน 5 บริการ นครศรีธรรมราช และขณะกระทำผิดได้หลบหนีราชการทหารบังอาจสมคบกับนายทองจำเลยในคดีอาญาแดงที่ 174/2497 ของศาลจังหวัดไชยา ใช้ขวานเป็นศาตราวุธ ตีนายเสื้อง ทับทิมเดิมมีบาดเจ็บสาหัสหลายแห่ง โดยจำเลยกับพวกมีเจตนาที่จะฆ่าให้ถึงตายและนายเสื้อง ทับทิมเดิม ได้ถึงแก่ความตายด้วยพิษบาดแผลที่ถูกจำเลยทำร้ายในคืนเกิดเหตุนั้นสมเจตนาของจำเลย ปรากฏตามรายงานชันสูตรพลิกศพของแพทย์ท้ายฟ้อง เหตุเกิดตำบลท่าฉาง อำเภอท่าฉาง จังหวัดสุราษฎร์ธานี ขอให้ลงโทษตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 249,63

จำเลยต่อสู้ว่า ผู้ตายใช้มีดวิ่งไล่จะแทงจำเลย จำเลยจึงใช้ขวานตีผู้ตายเพื่อป้องกันตัวพอสมควรแก่เหตุ

ทางพิจารณาคดีได้ความตามคำพยานโจทก์ว่า เมื่อวันที่ 15 เมษายน 2497 เวลาพลบค่ำ จำเลย นายทอง นายนิ่ง นางเอื้อม และนายเสื้องผู้ตาย กำลังเลี้ยงน้ำตาลเมากันอยู่บนเรือนของนายทองนายเยิ้ม นายเคลื่อน นายชิดเดินผ่านมา และได้แวะขึ้นไปร่วมวงอยู่ด้วย ขณะที่นายเสื้องส่งกระบอกน้ำตายให้นายชิดนั้นเอง จำเลยได้ลุกขึ้นใช้ขวานตีนายเสื้อง 2 ทีซ้อน ถูกที่หูและเหนือหูข้างขวานางเอื้อมและนายทองเข้าห้ามปรามจำเลย คนอื่นเลยวิ่งหนีลงจากเรือนนายทองไปหมด สักครู่ได้ยินเสียงเกาะสัญญาณของผู้ใหญ่บ้าน นายเยิ้มนายเคลื่อนพากันกลับไปดู ปรากฏว่านายเสื้องไปนอนตายอยู่ที่หนองน้ำไกลเรือนนายทองประมาณ 15 วา จำเลยและนายทองหายไปเสียแล้วนางเอื้อมเป็นภรรยานายทอง และเป็นพี่สาวของจำเลย ชั้นแรกนางเอื้อมว่า นางหีด นายนิ่ง เป็นคนตีนายเสื้องที่หนองนั้นเองแต่เจ้าพนักงานตรวจพบรอยโลหิตบนเรือนนายทอง ที่คั่นบันได ที่ไม้นอและมีหยดโลหิตตามริมทางเดินจากเรือนนายทองไปจนถึงหนองนั้น จึงไม่เชื่อถ้อยคำของนางเอื้อม ภายหลังนางเอื้อมยอมรับว่า จำเลยตีนายเสื้องบนเรือน แล้วจำเลยกับนายทองช่วยกันหามศพนายเสื้องไปทิ้งที่หนอง นางหีด นายนิ่ง นายเยิ้ม นายเคลื่อน นายชิด ก็ว่าจำเลยเป็นคนตีนายเสื้องที่บนเรือน เจ้าพนักงานจึงติดตามจับจำเลยและนายทองจับตัวนายทองได้ก่อนและฟ้องศาลไปแล้ว ศาลพิพากษาปล่อย โดยคดีได้ความว่านายทองไม่ได้ลงมือทำร้ายเพียงแต่ช่วยห้ามและช่วยหามศพไปจากเรือนเท่านั้น ปรากฏตามสำนวนอาญาฎีกาแดงที่ 174/2497 ของศาลจังหวัดไชยา เพิ่งจับตัวจำเลยได้ในภายหลัง จึงได้ฟ้องเป็นคดีเรื่องนี้

บาดแผลของนายเสื้องปรากฏตามรายงานการชันสูตรพลิกศพว่าแผลที่ 1 ที่หูขวา ครีบใบหูขาดกว้าง 1 เซ็นติเมตร ยาว 1 เซ็นติเมตรกระดูกหน้าหูแตกและหัก แผลที่ 2 ที่ศีรษะตอนเหนือหูขวา เป็นแผลแตกกว้าง 1.2 เซ็นติเมตร ยาว 2.2 เซ็นติเมตร กระดูกภายในแตกและหัก สังเกตเห็นว่าถูกตีด้วยของแข็งไม่มีคมทั้งสองแผล และถึงแก่ความตายเพราะพิษบาดแผลทั้งสองนั้น

ขณะเกิดเหตุไม่ปรากฏว่าเกิดปากเสียงกันก่อนประการใด แต่นายเสื้องเคยไปบอกตำรวจว่าจำเลยหนีราชการทหารมา จึงเข้าใจกันว่าจำเลยโกรธนายเสื้องเพราะเหตุนี้

จำเลยนำสืบว่า จำเลยคนเดียวจะไปเรือนนายทองเพื่อเยี่ยมนางเอื้อมพี่สาว พบนายเสื้อง นายเคลื่อน นายชิด นายเยิ้มเดินสวนทางมาทั้ง 4 คน นั้นวิ่งไล่จะทำร้ายจำเลย โดยนายเคลื่อนถือไม้อีก 3 คน มีมีดคนละเล่ม จำเลยวิ่งหนีมาถึงหน้าบันไดเรือนนางเอื้อมเห็นขวาน 1 เล่มอยู่ที่ไม้คร่าวหน้าบันได จึงฉวยขวานนั้นตีนายเสื้องไป 1 ที แล้วหนีไปบ้านของจำเลย

ศาลชั้นต้นเห็นว่า โจทก์มีพยานหลายปากยืนยันว่า จำเลยได้ใช้ขวานตีนายเสื้อง 2 ที ที่บนเรือนของนายทอง รอยโลหิตที่บนเรือนก็ประกอบถ้อยคำพยานโจทก์เหล่านั้นอยู่ ส่วนถ้อยคำพยานจำเลยที่อ้างว่านายเสื้องวิ่งไล่จะแทงจำเลย จำเลยจึงฉวยขวานตีไป 1 ที ที่พื้นดินหน้าบันใดเรือนเพื่อป้องกันตนนั้น พยานจำเลยให้การแตกต่างขัดกัน และขัดกับรอยโลหิตที่บนเรือนด้วย ถ้อยคำพยานฝ่ายโจทก์จึงประกอบชอบด้วยเหตุผลน่าเชื่อว่าเป็นความจริง และคดีไม่ใช่เรื่องป้องกันตัว ดังที่จำเลยพยายามแก้ตัวมานั้น แต่อย่างไรก็ดีจำเลยมิได้ใช้ทางคมขวานฟันเป็นแต่ใช้สันขวานตีเพียง 2 ที แต่ตีหนักมือไป นายเสื้องจึงถึงแก่ความตาย ข้อเท็จจริงยังฟังไม่ถนัดว่าจำเลยมีเจตนาฆ่า คงมีความผิดเพียงฐานฆ่าคนตายโดยไม่เจตนา จึงพิพากษาให้ลงโทษจำคุกจำเลยมีกำหนด 7 ปี ตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 251

โจทก์ฝ่ายเดียวอุทธรณ์ขอให้ลงโทษจำเลยฐานฆ่าคนตายโดยเจตนา

ศาลอุทธรณ์เห็นพ้องในข้อเท็จจริง ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นแต่สำหรับฐานความผิดนั้น เห็นว่าขวานเป็นอาวุธที่หนักและร้ายแรงแม้จำเลยจะไม่ใช้หน้าขวานฟันก็มีผลเช่นเดียวกัน คือทำให้ผู้ถูกทำร้ายถึงตายได้ จำเลยใช้ขวานตีถึง 2 ที ซ้อน ๆ กันโดยแรง จนกระโหลกศีรษะแตกถึงแก่ความตายในที่เกิดเหตุ ก่อนทำร้ายก็มิได้มีการโต้เถียงกันหรือเนื่องจากการเมาสุราอย่างไร จำเลยเข้าตีเอาเฉย ๆ เห็นได้ว่า จำเลยเจตนาฆ่าผู้ตาย เพราะเหตุที่ผู้ตายไปแจ้งแก่ตำรวจว่า จำเลยหลบหนีราชการทหารมา จึงพิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นว่า จำเลยมีความผิดฐานฆ่าคนตายโดยเจตนา ตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 249 ให้จำคุกจำเลยไว้ 15 ปี

จำเลยฎีกาต่อมา คัดค้านประการเดียวว่า จำเลยมิได้มีเจตนาฆ่าขอให้ลงโทษฐานฆ่าคนตายโดยไม่เจตนาตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

ศาลฎีกาได้ตรวจสำนวนและประชุมปรึกษาแล้ว ข้อเท็จจริงแห่งคดีเป็นอันรับฟังได้ตามคำพยานโจทก์ว่า ในขณะที่เลี้ยงน้ำตาลเมากันอยู่บนเรือนของนายทอง จำเลยได้ใช้ขวานตีนายเสื้อง 2 ทีปรากฏตามรายงานการชันสูตรพลิกศพ และนายเสื้องได้ถึงแก่ความตายในขณะนั้น เพราะพิษบาดแผลที่จำเลยกระทำร้าย ดังที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมาชอบแล้ว

ปัญหาที่ว่า จำเลยจะควรมีผิดฐานใดนั้น ศาลฎีกาเห็นว่าเฉพาะบาดแผลมีอยู่ 2 แผล ซึ่งปรากฏตามรายงานการชันสูตรพลิกศพว่าแผลที่ 1 ครีบใบหูขวาขาดไป กว้าง 1 เซ็นติเมตร ยาว 1 เซ็นติเมตรเท่านั้นแผลเช่นนี้ไม่กระทำให้ถึงตายได้ และที่บันทึกต่อไปว่ากระดูกหน้าหูแตก และหักก็มิได้ปรากฏความกว้างยาวของแผลเป็นประการใดส่วนแผลที่ 2 ที่ศีรษะตอนเหนือหูขวาเป็นแผลแตกกว้าง 1.2 เซ็นติเมตรยาว 2.2 เซ็นติเมตร กระดูกภายในแตกและหัก แผลนี้จะลึกเพียงใดไม่ปรากฏ พิเคราะห์ฐานแผลดังกล่าวนี้แล้ว ก็ไม่สู้ใหญ่โตฉกาจฉกรรจ์อะไรนัก

อาวุธที่จำเลยใช้ปรากฏเพียงว่าเป็นขวานเท่านั้น และตามคำพยานมิได้มีปรากฏเลยว่าเป็นขวานชนิดใด ยาวเท่าใด หน้ากว้างเพียงใดหรือมีความหนักเบาเป็นประการใด พึงสังเกตว่าจำเลยมิได้ใช้ขวานฟันแต่ใช้สันขวานตีเท่านั้น ซึ่งเป็นผลดีแก่จำเลยในทางที่จะสันนิษฐานว่าจำเลยมิได้มีเจตนาที่จะฆ่าอยู่แล้วเป็นประการต้น ประกอบด้วยฐานแผลไม่ใหญ่โตฉกาจฉกรรจ์ ดังกล่าวแล้วข้างต้น และขวานที่ใช้ตีนั้นไม่ปรากฏว่าเป็นอาวุธร้ายแรงเพียงใดหรือไม่ เพราะขวานมีอยู่มากมายหลายชนิด อาจเป็นขวานใหญ่มีความหนักมาก หรืออาจเป็นขวานพกเล็ก ๆ ก็เป็นได้ ข้อเท็จจริงจึงยังไม่เพียงพอที่จะชี้ขาดว่าจำเลยได้มีเจตนาจะฆ่าให้ตาย ควรลงโทษจำเลยเพียงฐานฆ่าคนโดยไม่เจตนาเท่านั้น ฎีกาของจำเลยฟังขึ้น

อาศัยเหตุผลทั้งมวลดังกล่าวมา ศาลฎีกาจึงพิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ โดยให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share