คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7079/2540

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

การที่จำเลยที่ 1 มีชื่อเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ที่ดินเป็นการมีชื่อแทนในส่วนที่เป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ครึ่งหนึ่ง จำเลยที่ 1 จึงมีฐานะเป็นตัวแทนของโจทก์ในส่วนที่เกี่ยวกับที่ดินของโจทก์ และโจทก์อยู่ในฐานะเป็นตัวการซึ่งมิได้เปิดเผยชื่อ เมื่อจำเลยที่ 1 ซึ่งมีชื่อเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ในโฉนดนำที่ดินไปขายฝากแก่สามีจำเลยที่ 2 ก็ต้องถือว่าโจทก์ยอมให้จำเลยที่ 1 ทำการออกหน้าเป็นตัวการในการขายฝาก โจทก์หาอาจจะทำให้เสื่อมเสียถึงสิทธิของสามีจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกอันเขามีต่อจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นตัวแทนและสามีจำเลยที่ 2 ขวนขวายได้มาแต่ก่อนที่จะรู้ว่าจำเลยที่ 1 เป็นตัวแทนไม่ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 806 การขายฝากที่จำเลยที่ 1 ทำไว้แก่สามีจำเลยที่ 2 จึงมีผลผูกพันกรรมสิทธิ์ที่ดินส่วนของโจทก์ด้วย
โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนการขายฝากที่ดินพิพาท เป็นการฟ้องร้องให้ได้ทรัพย์พิพาทคืนมาเป็นของโจทก์เป็นคดีมีทุนทรัพย์ แต่เมื่อศาลชั้นต้นสั่งว่า คดีพอวินิจฉัยได้จึงงดสืบพยานแล้วพิพากษาคดีไปโดยข้อกฎหมายนั้น เป็นการที่ศาลวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในข้อกฎหมายซึ่งทำให้คดีเสร็จไปทั้งเรื่องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 24 เมื่อโจทก์อุทธรณ์คำพิพากษาโดยขอให้ศาลชั้นต้นรับคำร้องขอแก้ไขคำฟ้องและสืบพยานโจทก์จำเลยต่อไป จึงเป็นการอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 227 ซึ่งตาราง 1 ข้อ 2 ข. ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง กำหนดให้เสียค่าขึ้นศาลเพียง 200 บาท แต่โจทก์เสียค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์อย่างคดีมีทุนทรัพย์จำนวน 200,000 บาท จึงต้องคืนค่าขึ้นศาลส่วนที่เกินแก่โจทก์ และแม้ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาพิพากษาใหม่ และจำเลยที่ 2 ฎีกาขอให้ศาลฎีกาพิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 และให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นที่ให้ยกฟ้อง เห็นได้ว่าเป็นคำขอให้จำเลยที่ 2 ชนะคดีในประเด็นอำนาจฟ้องของโจทก์ดังข้อวินิจฉัยของศาลชั้นต้นอันเป็นข้อกฎหมายนั่นเอง กรณีจึงไม่ต้องเสียค่าขึ้นศาลอย่างคดีมีทุนทรัพย์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์และจำเลยที่ 1 ร่วมกันซื้อที่ดินโฉนดเลขที่ 2864 และ 2853ตำบลทรงคนอง อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม แต่ให้จำเลยที่ 1 ลงชื่อเป็นผู้มีกรรมสิทธิ์เพียงผู้เดียว เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2537 จำเลยที่ 1 นำที่ดินโฉนดเลขที่ 2863,2864 และ 2853 รวม 3 แปลงไปขายฝากนายปุณยศักดิ์สามีจำเลยที่ 2 ต่อมากลางพ.ศ. 2538 โจทก์จึงทราบเรื่องขายฝากดังกล่าว การที่จำเลยที่ 1 นำที่ดินโฉนดเลขที่ 2864และ 2853 ซึ่งเป็นของโจทก์ด้วยครึ่งหนึ่ง เนื้อที่ 7 ไร่ 3 งาน คิดเป็นเงิน 15,500,000บาท ไปขายฝากโดยไม่ได้รับความยินยอมจากโจทก์ ขอให้ศาลเพิกถอนการขายฝากที่ดินดังกล่าวและใส่ชื่อโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดเลขที่ 2864 และ 2853ครึ่งหนึ่ง โดยจำเลยที่ 1 เป็นผู้เสียค่าธรรมเนียมให้จำเลยที่ 1 ไปดำเนินการรังวัดแบ่งแยกที่ดินทั้งสองแปลงดังกล่าวแก่โจทก์ครึ่งหนึ่งโดยให้โจทก์ได้ที่ดินด้านทิศตะวันตกของที่ดินโฉนดเลขที่ 2853 และให้โจทก์ได้ที่ดินด้านทิศตะวันออกของโฉนดเลขที่ 2864 คิดเป็นเนื้อที่ 7 ไร่ 3 งาน หากไม่สามารถดำเนินการได้ให้จำเลยชำระค่าที่ดินแก่โจทก์เป็นเงิน15,500,000 บาท

จำเลยที่ 1 ให้การว่า ที่ดินพิพาททั้งสองแปลงเป็นสินส่วนตัวของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 มีสิทธินำที่ดินพิพาทไปขายฝากให้แก่นายปุณยศักดิ์ แต้ปิติกุล โจทก์ไม่ได้รับความเสียหาย ขอให้ยกฟ้อง

จำเลยที่ 2 ให้การว่า ที่ดินพิพาททั้ง 2 แปลง เป็นสินส่วนตัวของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 จึงมีอำนาจจัดการได้ตามลำพัง โจทก์รู้เห็นและยินยอมในการที่จำเลยที่ 1 ขายฝากที่ดินดังกล่าว การที่โจทก์ยอมให้จำเลยที่ 1 ใส่ชื่อเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์แต่ผู้เดียวจำเลยที่ 1 จึงมีฐานะเป็นตัวแทนโจทก์ซึ่งเป็นตัวการไม่เปิดเผยชื่อ โจทก์จึงไม่อาจทำให้เสื่อมเสียสิทธินายปุณยศักดิ์สามีจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกได้ การที่โจทก์อ้างว่าเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมเป็นการได้มาโดยทางนิติกรรม เมื่อไม่ได้จดทะเบียนจึงไม่บริบูรณ์ไม่อาจใช้ยันจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้รับซื้อฝากโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน โจทก์ไม่มีสิทธิขอให้แบ่งแยกที่ดินตามคำขอท้ายฟ้องเพราะมิได้มีการครอบครองเป็นส่วนสัดและโจทก์ไม่ได้เสียหาย ขอให้ยกฟ้อง

ก่อนชี้สองสถาน โจทก์ยื่นคำร้องลงวันที่ 10 กรกฎาคม 2539 ขอแก้ไขคำฟ้อง

ในวันนัดชี้สองสถาน ศาลชั้นต้นเห็นว่า คดีพอวินิจฉัยได้ให้งดสืบพยานโจทก์จำเลย แล้วนัดฟังคำพิพากษา สำหรับคำร้องขอแก้ไขคำฟ้องของโจทก์ลงวันที่ 10กรกฎาคม 2539 นั้น เห็นว่า เนื่องจากคดีพอวินิจฉัยได้ จึงให้ยกคำร้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายกคำพิพากษาของศาลชั้นต้น และให้ยกคำสั่งที่ให้ยกคำร้องขอแก้ไขคำฟ้องของโจทก์ ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาพิพากษาใหม่ตามรูปคดี

จำเลยที่ 2 ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยที่ 2 ข้อแรกว่าที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องขอแก้ไขคำฟ้องของโจทก์ เป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ พิเคราะห์แล้วเห็นว่า วัตถุประสงค์ที่ให้โจทก์หรือจำเลยจะแก้ไขข้อหา ข้อต่อสู้ข้ออ้างหรือข้อเถียง อันกล่าวไว้ในคำฟ้องหรือคำให้การที่เสนอต่อศาลแต่แรกก็ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 179 นั้น ก็เพื่อให้โอกาสแก่โจทก์หรือจำเลยแก้ไขข้อบกพร่องผิดพลาดที่มีอยู่ในคำฟ้องหรือคำให้การเพื่อให้มีความสมบูรณ์ ตามคำฟ้องของโจทก์คดีนี้เป็นคำฟ้องที่แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์และคำขอบังคับทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นแล้ว เป็นคำฟ้องที่บริบูรณ์คำร้องขอแก้ไขคำฟ้องของโจทก์ลงวันที่ 10 กรกฎาคม 2539 เป็นเพียงรายละเอียดขยายความในคำฟ้องซึ่งชัดแจ้ง เมื่ออ่านแล้วก็สามารถเข้าใจในคำฟ้องได้ดีอยู่แล้ว แม้ศาลชั้นต้นจะมีคำสั่งอนุญาตให้โจทก์แก้ฟ้องได้หรือไม่ก็ไม่ทำให้ข้อเท็จจริงหรือในที่สุดผลของคดีจะเปลี่ยนแปลงไปแต่อย่างใด ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าคดีพอวินิจฉัยได้ไม่อนุญาตให้โจทก์แก้ไขคำฟ้องและให้ยกคำร้องเสียนั้นชอบแล้ว ฎีกาจำเลยที่ 2 ข้อนี้ฟังขึ้น

ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยข้อต่อไปมีว่า ที่ศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้และมีคำสั่งให้งดสืบพยานโจทก์จำเลยชอบหรือไม่

อนึ่ง ที่โจทก์แก้ฎีกาว่า ฎีกาจำเลยที่ 2 เป็นคดีมีทุนทรัพย์ต้องเสียค่าขึ้นศาลในชั้นฎีกาอย่างคดีมีทุนทรัพย์นั้น เห็นว่า โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนการขายฝากที่ดินพิพาทเป็นการฟ้องร้องให้ได้ทรัพย์พิพาทคืนมาเป็นของโจทก์เป็นคดีมีทุนทรัพย์ แต่เมื่อศาลชั้นต้นสั่งว่าคดีพอวินิจฉัยได้ จึงงดสืบพยานแล้วพิพากษาคดีไปโดยข้อกฎหมายนั้น เป็นการที่ศาลวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในข้อกฎหมายซึ่งทำให้คดีเสร็จไปทั้งเรื่องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 24 เมื่อโจทก์อุทธรณ์คำพิพากษาโดยขอให้ศาลชั้นต้นรับคำร้องขอแก้ไขคำฟ้องและสืบพยานโจทก์จำเลยต่อไป จึงเป็นการอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 227 ซึ่งตาราง 1 ข้อ 2 ข. ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง กำหนดให้เสียค่าขึ้นศาลเพียง 200 บาท แต่โจทก์เสียค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์อย่างคดีมีทุนทรัพย์จำนวน 200,000 บาท จึงต้องคืนค่าขึ้นศาลส่วนที่เกินแก่โจทก์ และแม้ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาพิพากษาใหม่ และจำเลยที่ 2 ฎีกา ขอให้ศาลฎีกาพิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 และให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นที่ให้ยกฟ้อง ก็เห็นได้ว่าเป็นคำขอให้จำเลยที่ 2 ชนะคดีในประเด็นอำนาจฟ้องของโจทก์ดังข้อวินิจฉัยของศาลชั้นต้นอันเป็นข้อกฎหมายนั่นเอง จึงไม่ต้องเสียค่าขึ้นศาลอย่างคดีมีทุนทรัพย์ ที่จำเลยที่ 2 เสียค่าขึ้นศาลในชั้นฎีกา 200 บาท นั้นชอบแล้ว”

พิพากษากลับ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น คืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ส่วนที่เกิน 200 บาท ให้แก่โจทก์

Share