แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินมีโฉนด การที่ผู้ตายยกที่ดินพิพาทให้ผู้ร้อง ซึ่งทายาทคนหนึ่งของผู้ตาย แต่มิได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่จึงไม่สมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 525 เมื่อการยกให้ไม่สมบูรณ์ต่อมาเมื่อผู้ตายถึงแก่ความตายและไม่ปรากฏว่าผู้ร้องได้แสดงเจตนาไปยังทายาทคนอื่นว่าผู้ร้องเข้าครอบครองที่ดินพิพาทเพื่อตนเองการครอบครองที่ดินพิพาทของผู้ร้องจึงเป็นการครอบครองแทนทายาทคนอื่นด้วย คดีนี้ผู้ร้องยื่นคำร้องขอแสดงกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 จึงไม่มีประเด็นเรื่องอายุความมรดกที่จะยกขึ้นวินิจฉัยได้เพราะเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น
ย่อยาว
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งว่าผู้ร้องได้กรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 1699 ตำบลคลองสองต้นนุ่น อำเภอแสนแสม(ลาดกระยัง) กรุงเทพมหานคร โดยการครอบครองปรปักษ์
ผู้คัดค้านทั้งเจ็ดยื่นคำคัดค้านว่านางผ่อง กลิ่นจันทร์กลิ่น ถึงแก่ความตายเมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม2527 ผู้คัดค้านที่ 2 และที่ 5 ถึงที่ 7 เป็นบุตรของนางผ่องเจ้ามรดก ส่วนผู้คัดค้านที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 ต่างก็เป็นหลานของนางผ่องจึงมีสิทธิได้รับมรดกแทนที่บิดาและมารดาที่เป็นบุตรของนางผ่องหลังจากที่นางผ่องถึงแก่ความตาย ผู้คัดค้านที่ 2ผู้ร้อง และนางสาวเผือด กลิ่นจันทร์กลั่น ได้เป็นผู้จัดการมรดกตามคำสั่งศาลในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 165/2536 ของศาลชั้นต้นนางผ่องเป็นเจ้าของครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินโฉนดเลขที่1699 ตำบลคลองสองต้นนุ่น อำเภอลาดกระบัง กรุงเทพมหานครเนื้อที่ 8 ไร่ 36 ตารางวา ที่ดินแปลงดังกล่าวจึงตกเป็นทรัพย์มรดกที่ดินที่ผู้ร้องอ้างว่าได้ครอบครองปรปักษ์นั้นเป็นทรัพย์มรดกตกได้แก่บรรดาทายาท ผู้ร้องหากจะครอบครองก็ครอบครองแทนในฐานะทายาททั้งหมด นางผ่องมิได้ยกที่ดินดังกล่าวให้แก่ผู้ร้อง ขอให้ยกคำร้องขอ
ระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้น ผู้คัดค้านที่ 7 ยื่นคำร้องขอถอนคำคัดค้าน ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ผู้ร้องได้ครอบครองปรปักษ์ ที่ดินโฉนดเลขที่ 1699 ตำบลคลองสองต้นนุ่น อำเภอแสนแสบ (ลาดกระบัง)กรุงเทพมหานคร เนื้อที่ 8 ไร่ 36 ตารางวา จนได้กรรมสิทธิ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382
ผู้คัดค้านที่ 1 ถึงที่ 6 อุทธรณ์
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้จากคำร้องขอคำคัดค้าน และพยานหลักฐานของผู้ร้องและผู้คัดค้านว่า ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินของนางผ่อง กลิ่นจันทร์กลั่น มารดาของผู้ร้องและผู้คัดค้านที่ 2 และที่ 5 ถึงที่ 7 นางผ่องถึงแก่ความตายเมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2527 เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2535นางศิริ อำบำรุง ผู้คัดค้านที่ 2 ยื่นคำร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกของนางผ่องผู้ตาย โดยระบุในคำร้องในคดีแพ่งหมายเลขดำที่1176/2535 ของศาลชั้นต้นว่าผู้ตายมีที่ดินพิพาทเป็นทรัพย์มรดกเพียงอย่างเดียว ต่อมาเมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2535 ผู้ร้องและนางสาวเผือด กลิ่นจันทร์กลั่น บุตรของผู้ตายยื่นคำคัดค้านการขอเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ร้อง เมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2536 ศาลมีคำสั่งตั้งผู้คัดค้านที่ 2 ผู้ร้อง และนางสาวเผือดเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตาย ผู้ร้องมายื่นคำร้องขอแสดงกรรมสิทธิ์ที่ดินเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2537 มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ร้องว่าผู้ร้องได้ครอบครองที่ดินพิพาทโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของจนได้กรรมสิทธิ์แล้วหรือไม่ ในข้อนี้ที่ผู้ร้องอ้างว่าผู้ตายยกที่ดินพิพาทให้ผู้ร้องโดยมิได้จดทะเบียนต่อเจ้าพนักงานที่ดิน เมื่อผู้ตายถึงแก่ความตาย ผู้ร้องจึงเข้าครอบครองต่อมานั้น ปรากฏตามเอกสารหมาย ร.1 ว่าดินพิพาทเป็นที่ดินมีโฉนดการยกให้เมื่อมิได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ จึงไม่สมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 525 เมื่อการยกให้ไม่สมบูรณ์ ต่อมาเมื่อผู้ตายถึงแก่ความตายและไม่ปรากฏว่าผู้ร้องได้แสดงเจตนาไปยังทายาทคนอื่นว่าผู้ร้องเข้าครอบครองที่ดินพิพาทเพื่อตนเอง การครอบครองที่ดินพิพาทของผู้ร้องจึงเป็นการครอบครองแทนทายาทคนอื่นด้วย อีกทั้งเมื่อผู้คัดค้านที่ 2 ยื่นคำร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตาย โดยระบุว่ามีที่ดินพิพาทเป็นทรัพย์มรดกผู้ร้องก็คัดค้านตามคำร้องคัดค้านเอกสารหมาย ค.2 แต่เพียงว่า ผู้ร้องครอบครองที่ดินพิพาทมาเกินกว่า 1 ปี ขาดอายุความที่ทายาทอื่นจะเรียกร้องมรดกแล้วมิได้คัดค้านว่าผู้ร้องครอบครองโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันเป็นเวลา 10 ปี แต่อย่างใดจนต่อมาเมื่อศาลมีคำสั่งตั้งผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายร่วมด้วยแล้ว ผู้ร้องในฐานะผู้จัดการมรดกของผู้ตายจึงไม่อาจครอบครองที่ดินพิพาทอันเป็นทรัพย์มรดกของผู้ตายด้วยเจตนาเป็นเจ้าของแต่เพียงผู้เดียวได้ หากแต่เป็นการครอบครองแทนทายาทคนอื่น ๆ จนกว่าจะมีการแบ่งทรัพย์มรดกแล้ว เว้นแต่ผู้ร้องจะได้แสดงเจตนาไปยังทายาทอื่นว่าผู้ร้องได้เข้าครอบครองที่ดินพิพาทเป็นของตนเองเท่านั้น ดังนี้ จึงยังถือไม่ได้ว่าผู้ร้องได้ครอบครองที่ดินพิพาทโดยสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันเป็นเวลา 10 ปีจนได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทส่วนที่ผู้ร้องฎีกาว่า ผู้ร้องได้ครอบครองที่ดินพิพาทมาเกินกว่า1 ปี นับแต่เจ้ามรดกถึงแก่ความตายอันเป็นกรณีที่กฎหมายปิดปากทายาทอื่นมิให้ฟ้องเรียกร้องเอาที่ดินพิพาทจากผู้ร้องได้นั้น คดีนี้ผู้ร้องยื่นคำร้องขอแสดงกรรมสิทธิในที่ดินพิพาทตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 จึงไม่มีประเด็นเรื่องอายุความมรดกที่จะยกขึ้นวินิจฉัยได้เพราะเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น
พิพากษายืน