แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยฎีกาว่า ฟ้องโจทก์ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะการซื้อขายที่ดินระหว่างโจทก์จำเลยไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือ มิได้ปฏิบัติให้ถูกต้องตามบทบัญญัติของกฎหมาย โจทก์จะฟ้องร้องบังคับคดีเอาแก่จำเลยไม่ได้ ฎีกาของจำเลยในข้อนี้แม้จำเลยจะยกขึ้นต่อสู้ไว้ในคำให้การ แต่ในชั้นพิจารณาของศาลชั้นต้นจำเลยก็ได้สละข้อต่อสู้ในประเด็นดังกล่าวไปแล้ว จึงถือเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 1 ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคแรก ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้ ที่จำเลยฎีกาว่า คำเบิกความของนาย ว. พยานโจทก์ไม่มีน้ำหนักให้รับฟังได้นั้น เห็นว่า เมื่อจำเลยยอมรับในฎีกาว่าจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญามาตั้งแต่เริ่มแรก แต่อ้างว่าโจทก์ไม่ได้บอกเลิกสัญญาแก่จำเลย คำเบิกความของนาย ว. พยานโจทก์ดังกล่าวซึ่งศาลล่างทั้งสองก็ได้รับฟังประกอบดุลพินิจที่ฟังว่าจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญาฎีกาของจำเลยที่โต้แย้งคำเบิกความของนาย ว. พยานโจทก์และในส่วนอื่นอันเกี่ยวเนื่องกัน จึงเป็นฎีกาที่ไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย ส่วนที่จำเลยฎีกาขอให้โจทก์ใช้ค่าแรงงานให้จำเลยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1312 ประกอบมาตรา 1317 นั้นเป็นฎีกาที่จำเลยยกข้อเท็จจริงขึ้นใหม่ ซึ่งมิได้กล่าวไว้ในคำให้การจึงเป็นฎีกาที่นอกเหนือไปจากคำให้การ ถือว่าเป็นฎีกาที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 1 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้เช่นเดียวกัน
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 18802พร้อมสิ่งปลูกสร้างบนที่ดิน เมื่อเดือนธันวาคม 2526 โจทก์ทำสัญญาจะขายที่ดินตามโฉนดดังกล่าวให้แก่จำเลย โจทก์ส่งมอบที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างให้แก่จำเลยตั้งแต่เดือนธันวาคม 2526 แต่จำเลยไม่วางเงินมัดจำ 100,000 บาท ตามข้อตกลง จำเลยผ่อนชำระเงินมัดจำรวม 4 งวด เป็นเงิน 93,000 บาท แล้วไม่ชำระเงินให้แก่โจทก์อีกด้วยโจทก์มอบให้ทนายความมีหนังสือบอกเลิกสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินแก่จำเลย จำเลยได้รับแล้ว จำเลยไม่ออกจากที่ดินและสิ่งปลูกสร้างทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้บังคับจำเลยพร้อมบริวารออกจากที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ส่งมอบที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างให้แก่โจทก์ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 3,500 บาท นับแต่วันที่12 ธันวาคม 2531 ไปจนกว่าจำเลยจะส่งมอบที่ดินและสิ่งปลูกสร้างให้แก่โจทก์
จำเลยให้การว่า บิดาโจทก์จำเลยยกที่ดินตามฟ้องให้แก่โจทก์โจทก์บอกขายให้จำเลยในราคา 300,000 บาท จำเลยผ่อนชำระให้โจทก์ครบแล้ว จำเลยเตือนให้โจทก์โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้แก่จำเลยแต่โจทก์เพิกเฉย โจทก์จำเลยไม่ได้ทำหลักฐานเป็นหนังสือ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง จำเลยครอบครองที่ดินโดยสงบและเปิดเผยตลอดมาเกินกว่า10 ปีแล้ว จำเลยแย่งที่ดินโดยการครอบครองปรปักษ์ การซื้อขายไม่มีหนังสือสัญญาซื้อขาย จึงไม่มีสัญญาที่โจทก์จะบอกเลิกโจทก์ไม่ได้รับความเสียหาย ขอให้ยกฟ้อง
ในการชี้สองสถาน ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทว่าโจทก์หรือจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญา ส่วนประเด็นข้ออื่นตามฟ้องและคำให้การคู่ความขอสละ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยและบริวารออกจากที่ดินและสิ่งปลูกสร้างในที่ดินของโจทก์ คำขอนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาจะต้องวินิจฉัยว่าโจทก์หรือจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญา จำเลยฎีกาในข้อ 8.1 ว่า ฟ้องโจทก์ไม่ชอบด้วยกฎหมายเพราะการซื้อขายที่ดินระหว่างโจทก์จำเลย ไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือมิได้ปฏิบัติให้ถูกต้องตามบทบัญญัติของกฎหมาย โจทก์จะฟ้องร้องบังคับคดีเอาแก่จำเลยไม่ได้ ฎีกาของจำเลยในข้อนี้แม้จำเลยจะยกขึ้นต่อสู้ไว้ในคำให้การ แต่ในชั้นพิจารณาของศาลชั้นต้นจำเลยก็ได้สละข้อต่อสู้ในประเด็นดังกล่าวไปแล้ว จึงถือเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 1ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา249 วรรคแรก ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้ และที่จำเลยฎีกาในข้อ 8.2 ว่าคำเบิกความของนายวิชิต พลอยงาม พยานโจทก์ไม่มีน้ำหนักให้รับฟังได้นั้น เห็นว่า เมื่อจำเลยยอมรับในฎีกาว่าจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญามาตั้งแต่เริ่มแรก แต่อ้างว่าโจทก์ไม่ได้บอกเลิกสัญญาแก่จำเลยคำเบิกความของนายวิชิต พยานโจทก์ดังกล่าวซึ่งศาลล่างทั้งสองก็ได้รับฟังประกอบดุลพินิจที่ฟังว่าจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญาฎีกาของจำเลยที่โต้แย้งคำเบิกความของนายวิชิต พยานโจทก์ และในส่วนอื่นอันเกี่ยวเนื่องกัน จึงเป็นฎีกาที่ไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย ส่วนที่จำเลยฎีกาขอให้โจทก์ใช้ค่าแรงงานให้จำเลยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1312 ประกอบมาตรา 1317 นั้นเป็นฎีกาที่จำเลยยกข้อเท็จจริงขึ้นใหม่ ซึ่งมิได้กล่าวไว้ในคำให้การจึงเป็นฎีกาที่นอกเหนือไปจากคำให้การ ถือว่าเป็นฎีกาที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 1ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้เช่นเดียวกัน
พิพากษายกฎีกาของจำเลย