คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 281-282/2521

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1 และที่ 2 ฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 83 ศาลชั้นต้นฟังว่าจำเลยที่ 1 เจตนาฆ่าผู้ตาย ส่วนจำเลยที่ 2 มีเจตนาทำร้ายเท่านั้น พิพากษาว่าจำเลยที่ 1 มีความผิดตามมาตรา 288 จำเลยที่ 2 มีความผิดตามมาตรา 290 โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์เห็นว่าจำเลยที่ 2 ไม่มีความผิด พิพากษายกฟ้อง ดังนี้ ข้อหาฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาตามมาตรา 288 เฉพาะจำเลยที่ 2 จึงเป็นอันถูกศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ยกฟ้องโดยอาศัยข้อเท็จจริงโจทก์ฎีกาข้อเท็จจริงในข้อหานี้ไม่ได้ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ฉบับที่ 8) พ.ศ. 2517 มาตรา 8 คงฎีกาได้เฉพาะข้อหาฐานฆ่าผู้อื่นโดยไม่เจตนาตามมาตรา 290 เท่านั้น
ผู้ตายกับ ส.ขึ้นไปบนเรือนดูดทรายและผู้ตายถือไม้พายติดมือขึ้นไปด้วยโดยมีเจตนาจะก่อการวิวาท เพราะผู้ตายเคยมีสาเหตุกับชาวเรือดูดทรายมาก่อน ทันทีที่ฝ่ายผู้ตายขึ้นไปบนเรือ ฝ่ายจำเลยซึ่งอยู่ในเรือดูดทรายและมีประมาณ 4 คนก็กรูกันเข้ามาหาและเกิดการต่อสู้ชกต่อยกันขึ้น ดังนี้ แสดงว่าทั้งสองฝ่ายสมัครใจวิวาทต่อสู้กัน ฉะนั้นการที่จำเลยใช้เหล็กแหลมแทงผู้ตายถูกที่ราวนม 2 แผล ระหว่างวิวาทต่อสู้กันนั้น จำเลยจะอ้างว่าแทงผู้ตายเพื่อป้องกันสิทธิของตนหาได้ไม่

ย่อยาว

คดีสองสำนวนนี้ ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษารวมกัน และเรียกนายศุภสิทธิ์ พลายศรี จำเลยสำนวนแรกเป็นจำเลยที่ ๑ เรียกนายแสวง เอมสิงห์ จำเลยสำนวนหลังเป็นจำเลยที่ ๒
โจทก์ฟ้องทั้งสองสำนวนว่า จำเลยทั้งสองกับพวกที่ยังไม่ได้ตัวมาฟ้องและที่หลบหนีไปอีก ๔ คน รวมเป็น ๖ คน ได้บังอาจร่วมกันใช้กำลังกายกับใช้เหล็กขูดชาฟห์ และเหล็กท่อนเป็นอาวุธ ชก ต่อย เตะ แทง และตี ทำร้ายร่างกายนายประวัติ เชยสาคร ถูกที่หน้าอกทะลุเข้าหัวใจโดยมีเจตนาฆ่า นายประวัติได้รับอันตรายสาหัสและถึงแก่ความตายเพราะพิษบาดแผลในวันเดียวกันนั้นสมเจตนาจำเลยทั้งสองกับพวก ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๘, ๘๓
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ จำเลยที่ ๑ รับว่าแทงผู้ตายจริง แต่ทำไปเพื่อป้องกันตัวพอสมควรแก่เหตุ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ ๑ มีความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๘ จำคุก ๒๐ ปี จำเลยที่ ๒ มีความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยไม่เจตนาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙๐ จำคุก ๕ ปี คำให้การของจำเลยที่ ๑ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้ ๑ ใน ๓ ตามมาตรา ๗๘ คงจำคุกจำเลยที่ ๑ มีกำหนด ๑๓ ปี ๔ เดือน
โจทก์และจำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ฟังว่า จำเลยที่ ๑ แทงผู้ตายจริง แต่รูปคดีเป็นเรื่องผู้ตายเป็นฝ่ายหาเหตุก่อเรื่อง ควรได้รับโทษเบากว่าที่ศาลชั้นต้นกำหนด สำหรับจำเลยที่ ๒ ฟังไม่ได้ว่าได้ร่วมกระทำผิดกับจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๒ ไม่มีความผิดพิพากษาแก้ว่าให้จำคุกจำเลยที่ ๑ มีกำหนด ๑๕ ปี คำรับชั้นสอบสวนและคำเบิกความชั้นศาลเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ ๑ ใน ๓ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ คงจำคุกจำเลยที่ ๑ มีกำหนด ๑๐ ปี ส่วนจำเลยที่ ๒ ให้ยกฟ้อง นอกจากที่แก้ไขเป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์และจำเลยที่ ๑ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๘, ๘๓ ศาลชั้นต้นฟังว่า จำเลยที่ ๑ มีเจตนาฆ่าผู้ตาย ไม่เป็นการป้องกันตัว ส่วนจำเลยที่ ๒ ได้เข้าร่วมวิวาทด้วย แต่มิได้มีการวางแผนกันไว้ล่วงหน้าที่จะฆ่าผู้ตาย จำเลยที่ ๒ มีเจตนาทำร้ายเท่านั้น พิพากษาว่าจำเลยที่ ๑ มีความผิดตามมาตรา ๒๘๘ จำเลยที่ ๒ มีความผิดตามมาตรา ๒๙๐ โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์เห็นว่า จำเลยที่ ๒ ไม่มีความผิด พิพากษายกฟ้อง ฉะนั้น ข้อหาฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๘ เฉพาะจำเลยที่ ๒ จึงเป็นอันถูกศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ยกฟ้องโดยอาศัยข้อเท็จจริง โจทก์ฎีกาข้อเท็จจริงในข้อหานี้ไม่ได้ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒๒๐ แก้ไขเพิ่มเติมโดยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ฉบับที่ ๘) พ.ศ. ๒๕๑๗ มาตรา ๘ คงฎีกาได้เฉพาะข้อหาฐานฆ่าผู้อื่นโดยไม่เจตนา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙๐ เท่านั้น
ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ผู้ตายกับนายสุทินขึ้นไปบนเรือเกิดเหตุโดยไม่มีใครเรียกและผู้ตายถือไม้พายติดมือขึ้นไปด้วย แสดงว่าผู้ตายกับนายสุทินมีเจตนาจะก่อการวิวาทเพราะผู้ตายเคยมีสาเหตุกับชาวเรือดูดทรายมาก่อน และทันทีที่ฝ่ายผู้ตายขึ้นไปบนเรือเกิดเหตุฝ่ายจำเลยซึ่งมีประมาณ ๔ คนก็กรูกันเข้ามาหาและเกิดการต่อสู้ชกต่อยกันเกิดขึ้น อันแสดงให้เห็นว่าทั้งสองฝ่ายสมัครใจวิวาทต่อสู้กัน ฉะนั้น จำเลยที่ ๑ จะอ้างว่าแทงผู้ตายเพื่อป้องกันสิทธิของตนหาได้ไม่ ผู้ตายได้รับบาดเจ็บ ๒ แผลที่ราวนม ซึ่งเป็นอวัยวะสำคัญของร่างกายและตายเพราะแผลดังกล่าว ทั้งอาวุธที่ใช้ก็เป็นเหล็กแหลม จึงฟังได้ว่าจำเลยที่ ๑ มีเจตนาฆ่าผู้ตาย แต่การที่ผู้ตายกับนายสุทินขึ้นไปบนเรือดูดทรายซึ่งจำเลยที่ ๑ กับพวกมีหน้าที่ดูแลรักษา โดยเฉพาะเรือยนต์เป็นของจำเลยที่ ๑ พร้อมกับถือไม้พายติดมือไปและขึ้นไปโดยไม่มีเหตุสมควร เห็นว่าผู้ตายกับนายสุทินเป็นฝ่ายก่อเหตุ คำให้การชั้นสอบสวนและคำเบิกความชั้นศาลของจำเลยที่ ๑ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่มาก มีเหตุบรรเทาโทษสมควรได้รับการลดโทษให้เบาลงกว่าที่ศาลอุทธรณ์กำหนด
สำหรับจำเลยที่ ๒ นั้น พยานโจทก์ไม่เพียงพอที่จะฟังว่าได้กระทำผิด
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลดโทษให้จำเลยที่ ๑ กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ คงจำคุก ๗ ปี ๖ เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share