แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่าคดีโจทก์ต้องห้ามมิให้ฎีกา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220 จึงไม่รับโจทก์เห็นว่า คดีนี้ศาลล่างทั้งสองรับฟังพยานหลักฐานที่ไม่ปรากฏในสำนวนและผิดจากพยานหลักฐานในสำนวน เป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมายลักษณะพยาน ซึ่งเป็นปัญหาข้อกฎหมายและเป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน อีกประการหนึ่งการที่ศาลจะวินิจฉัยว่าจำเลยกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่นั้น เป็นขั้นตอนของการวินิจฉัยในชั้นพิจารณาหลังจากที่ศาลประทับฟ้องและสืบพยานโจทก์จำเลยจนสิ้นกระแสความแล้วเท่านั้น แต่คดีนี้เป็นกรณีชั้นไต่สวนมูลฟ้องเท่านั้น ดังนั้นการที่ศาลอุทธรณ์ตั้งประเด็นวินิจฉัยว่าจำเลยกระทำความผิดหรือไม่ จึงไม่ถูกต้องตามขั้นตอนในการดำเนินกระบวนพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาซึ่งเป็นปัญหาข้อกฎหมายอีกเช่นเดียวกัน โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของโจทก์ไว้พิจารณาพิพากษาต่อไป
หมายเหตุ จำเลยแถลงคัดค้าน (อันดับ 27)
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา137,172,173,174
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีของโจทก์ไม่มีมูลพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับดังกล่าว (อันดับ 25)
โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 26)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ โดยฟังข้อเท็จจริงว่าข้อกล่าวหาที่จำเลยแจ้งแก่พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจนครบาลประเวศ มีมูลแห่งการกระทำความผิดทางอาญาเกิดขึ้นจริงไม่ใช่เป็นการที่จำเลยแกล้งแจ้งข้อความอันเป็นเท็จเกี่ยวกับความผิดอาญาแก่พนักงานสอบสวนเพื่อให้โจทก์กับพวกต้องรับโทษแต่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนโดยวินิจฉัยว่า ที่ร้อยตำรวจโทพัชร์จันทบาลพยานโจทก์เบิกความว่า จำเลยได้ร้องทุกข์ไว้ปรากฏตามเอกสารหมาย จ.10 ในสำนวนคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 7904/2528 ของศาลชั้นต้นนั้น เป็นคำให้การของผู้ต้องหาที่ 1 คือจำเลยคดีนี้มิใช่คำร้องทุกข์ เป็นการพิพากษายกฟ้องในปัญหาข้อกฎหมาย โจทก์ฎีกาได้ทั้งในปัญหาข้อเท็จจริงและปัญหาข้อกฎหมาย ไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220 จึงให้รับฎีกาของโจทก์