แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
โจทก์ตกลงให้ อ. ทำสัญญากู้ยืมเงินจากสหกรณ์เป็นเงิน 500,000 บาท โดยโจทก์จดทะเบียนจำนองที่ดินของโจทก์เป็นประกันหนี้ เหตุที่ต้องให้ อ. เป็นผู้กู้ยืม เพราะโจทก์ไม่ได้เป็นสมาชิกของสหกรณ์ดังกล่าว ต่อมา อ. ไปรับเงินที่กู้ยืมซึ่งเมื่อคิดหักชำระหนี้สินและค่าหุ้นแล้ว คงได้รับเป็นเงิน 431,928 บาท จึงต้องถือว่า อ. เป็นลูกหนี้ชั้นต้นที่ต้องรับผิดต่อสหกรณ์ และเป็นเจ้าของผู้มีกรรมสิทธิ์ในเงินที่กู้ยืมจากสหกรณ์ ตราบเท่าที่ยังไม่ได้โอนกรรมสิทธิ์ต่อให้แก่ผู้ใด ทั้งโจทก์ไม่ได้มอบให้จำเลยเป็นตัวแทนไปรับเงินจาก อ. ดังนั้นการที่ อ. มอบเงินให้แก่จำเลยเพื่อฝากต่อให้แก่โจทก์ย่อมเป็นเรื่องความรับผิดระหว่าง อ. กับจำเลย โจทก์จึงไม่ใช่ผู้เสียหายที่จะนำคดีมาฟ้องจำเลยในความผิดฐานยักยอกเงินดังกล่าวที่เป็นของ อ. ไปได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2 (4)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2543 เวลากลางวัน นางเอื้อน นิยมทอง ซึ่งได้ร่วมกับโจทก์กู้ยืมเงินจากสหกรณ์การเกษตรบางปลาม้า จำกัด ได้เบิกเงินกู้จำนวน 431,928 บาท ซึ่งเป็นของโจทก์ แล้วนางเอื้อนฝากจำเลยนำไปให้แก่โจทก์ จำเลยครอบครองเงินจำนวน 431,928 บาท ของโจทก์แล้วเบียดบังเอาเงินจำนวนดังกล่าวเป็นของตนโดยทุจริต ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 วรรคแรก
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 วรรคแรก จำคุก 2 ปี 6 เดือน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นที่ยุติในเบื้องต้นว่า โจทก์ตกลงให้นางเอื้อน นิยมทอง ทำสัญญากู้ยืมเงินจากสหกรณ์การเกษตรบางปลาม้า จำกัด เป็นเงิน 500,000 บาท โดยโจทก์จดทะเบียนจำนองที่ดินของโจทก์เพื่อประกันหนี้ ตามสัญญาจำนองเอกสารหมาย จ.1 เหตุที่ต้องให้นางเอื้อนเป็นผู้กู้ยืมเพราะโจทก์ไม่ได้เป็นสมาชิกของสหกรณ์ฯ ดังกล่าว ต่อมาในวันเกิดเหตุตามฟ้องนางเอื้อนไปรับเงินที่กู้ยืมซึ่งเมื่อคิดหักชำระหนี้สินและค่าหุ้นแล้ว คงได้รับเป็นเงิน 431,928 บาท ซึ่งโจทก์ยังไม่ได้รับเงินจำนวนดังกล่าวจากนางเอื้อนแต่อย่างใด และโจทก์มีนางพรทิพย์ ทัศนสุวรรณ ผู้จัดการสหกรณ์ฯ มาเบิกความว่า นางเอื้อน นิยมทอง เป็นผู้ทำสัญญากู้ยืมเงินกับสหกรณ์ฯ โดยมีโจทก์เป็นผู้นำที่ดินมาจำนองเป็นประกันและนางเอื้อนเป็นผู้มารับเงินที่กู้ยืมจากสหกรณ์โดยสหกรณ์ หักค่าหุ้นเงินกู้ระยะสั้นที่ค้างชำระพร้อมดอกเบี้ย ก่อนมอบเงินที่เหลือให้แก่นางเอื้อน โจทก์และนางเอื้อนเองก็รับว่าโจทก์ไม่มีคุณสมบัติที่จะเป็นผู้กู้ด้วยตนเอง เพราะมิได้เป็นสมาชิกของสหกรณ์ฯ ตามพฤติการณ์จึงต้องถือว่านางเอื้อนเป็นลูกหนี้ชั้นต้นที่ต้องรับผิดต่อสหกรณ์ฯ และเป็นเจ้าของผู้มีกรรมสิทธิ์ในเงินที่กู้ยืมจากสหกรณ์ฯ ตราบเท่าที่ยังไม่ได้โอนกรรมสิทธิ์ต่อให้แก่ผู้ใด นอกจากนี้ยังได้ความตามทางนำสืบของโจทก์ว่า โจทก์ไม่ได้มอบให้จำเลยเป็นตัวแทนไปรับเงินจากนางเอื้อน ดังนั้นหากนางเอื้อนจะได้มอบเงินให้แก่จำเลยเพื่อฝากต่อให้แก่โจทก์ก็เป็นเรื่องความรับผิดระหว่างนางเอื้อนกับจำเลย โจทก์จึงไม่ใช่ผู้เสียหายที่จะนำคดีมาฟ้องจำเลยได้ในความผิดคดีนี้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2 (4) ปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบด้วยมาตรา 225 คดีไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาของโจทก์อีกต่อไป เพราะไม่อาจเปลี่ยนแปลงผลของคำพิพากษาคดีนี้ได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษายกฟ้องโจทก์มานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน