แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องจำเลยโดยอาศัย พระราชบัญญัติควบคุมการแลกเปลี่ยนเงินฯโดยกล่าวว่าจำเลยได้เข้าทำสัญญาผูกพันตนต่อเจ้าพนักงานแลกเปลี่ยนเงิน โดยรับรองขายเงินตราต่างประเทศให้แก่ธนาคารแห่งประเทศไทย เนื่องจากจำเลยได้ขอและรับอนุญาตให้ส่งสินค้าที่ต้องมีใบอนุญาตออกนอกราชอาณาจักร เมื่อจำเลยไม่ปฏิบัติตามข้อผูกพันนั้น แม้โจทก์จะมิได้ดำเนินคดีอาญาตามที่ พระราชบัญญัติควบคุมการแลกเปลี่ยนเงินฯบัญญัติโทษไว้ ก็ไม่ตัดสิทธิโจทก์ที่จะดำเนินคดีทางแพ่งแก่จำเลยได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า ตามกฎกระทรวงการคลัง (ฉบับที่ 4) ออกตามความใน พระราชบัญญัติควบคุมการแลกเปลี่ยนเงิน ความว่า ผู้ใดส่งของออกนอกราชอาณาจักร ต้องจัดให้ได้มาซึ่งเงินตราต่างประเทศเป็นค่าของนั้นและเงินตรานั้นต้องเป็นเงินปอนด์สเตอร์ลิงก์หรือดอลลาร์สหรัฐอเมริกาหรือเงินตราที่เจ้าพนักงานกำหนดเพื่อประโยชน์สาธารณะเงินปอนด์สเตอร์ลิงก์หรือดอลลาร์สหรัฐอเมริกาหรือเงินตราที่เจ้าพนักงานกำหนดนั้น จะได้มาด้วยประการใด ๆ ก็ตาม ต้องขายให้แก่ธนาคารแห่งประเทศไทย โดยผ่านธนาคารรับอนุญาต จำเลยได้ขอและรับอนุญาตให้ส่งสินค้าที่ต้องมีใบอนุญาตออกนอกประเทศคิดเป็นเงิน 17,500 ปอนด์สเตอร์ลิงก์ จำเลยได้ทำสัญญาผูกพันตนต่อเจ้าพนักงานงานควบคุมการแลกเปลี่ยนเงิน โดยรับรองขายเงินตราต่างประเทศตามจำนวนดังกล่าวภายใน 6 เดือน ครั้นครบ 6 เดือน นับแต่จำเลยส่งสินค้าออกทุกประเภท จำเลยได้ขายเงินตราต่างประเทศให้ธนาคารแห่งประเทศไทย2 คราว คงค้างอยู่ 17,059 ปอนด์สเตอร์ลิงก์ จึงขอให้จำเลยขายเงินตราต่างประเทศที่ยังขาดอยู่ให้โจทก์พร้อมทั้งดอกเบี้ย
จำเลยต่อสู้ว่า การฟ้องโดยอาศัยพระราชบัญญัติควบคุมการแลกเปลี่ยนเงินฯ เป็นกฎหมายทางอาญา เพราะบัญญัติโทษไว้ แต่โจทก์ไม่ฟ้องเอาผิดแก่จำเลยทางอาญา โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยนอกจากนั้น จำเลยยังมีข้อต่อสู้อื่นอีก
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาให้โจทก์ชนะคดีตามฟ้อง
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า เมื่อจำเลยได้ยอมผูกพันตามโดยขอและรับอนุญาตในการส่งสินค้าออกไปขายและทำคำรับรองให้ไว้ต่อธนาคารแห่งประเทศไทยซึ่งได้รับแต่งตั้งจากโจทก์ จำเลยมิได้ปฏิบัติตามข้อผูกพันนั้นแม้โจทก์มิดำเนินคดีทางอาญาแก่จำเลย ก็ไม่ตัดสิทธิโจทก์จะดำเนินคดีทางแพ่งแก่จำเลยคดีนี้
พิพากษายืน