คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2398/2518

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยรู้แล้วว่ารถจักรยานยนต์ของเจ้าทรัพย์ถูกคนร้ายลักไป และจำเลยเป็นคนติดต่อเรียกค่าไถ่จากเจ้าทรัพย์จนได้มีการไถ่รถคันดังกล่าวคืนมา ทั้งนี้โดยไม่ปรากฏว่าเจ้าทรัพย์ขอร้องให้จำเลยช่วย และจำเลยเป็นคนรับเงินค่าไถ่ไป การกระทำของจำเลยจึงเป็นการช่วยเหลือคนร้ายจำหน่ายทรัพย์ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 357 แล้ว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกับพวกบังอาจร่วมกันลักทรัพย์แล้วเรียกเอาค่าไถ่ หรือมิฉะนั้นก็ร่วมกันรับของโจร รถจักรยานยนต์ ๑ คัน ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓๕,๓๕๗
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นฟังว่า จำเลยช่วยจำหน่ายทรัพย์อันได้มาโดยการลักทรัพย์ เป็นความผิดฐานรับของโจร ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๕๗ จำคุก ๑ ปี ๖ เดือน ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ จำคุก ๑ ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกาว่า การกระทำของจำเลยยังไม่เข้าลักษณะเป็นการช่วยจำหน่าย
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ฟังมานั้นมีว่า จำเลยรู้แล้วว่ารถจักรยานยนต์ของนายนิเวศถูกคนร้ายลักไป และจำเลยเป็นคนติดต่อเรียกค่าไถ่จากเจ้าทรัพย์จนได้มีการไถ่รถคันดังกล่าวคืนมา ทั้งนี้โดยไม่ปรากฏว่าเจ้าทรัพย์ขอร้องให้จำเลยช่วย และจำเลยเป็นคนรับเงินค่าไถ่ไป การกระทำของจำเลยจึงเป็นการช่วยเหลือคนร้ายจำหน่ายทรัพย์ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๕๗ แล้ว
พิพากษายืน
(รื่น วิไลชนม์ วิกรม เมาลานนท์ ยิ่งศักดิ์ กฤษณจินดา)

Share