แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ผู้ร้องขัดทรัพย์ย่อมมีฐานะเป็นโจทก์ในคดีชั้นขัดทรัพย์ ส่วนโจทก์เดิมอยู่ในฐานะผู้คัดค้าน
ผู้ร้องขัดทรัพย์อ้างว่านาที่โจทก์นำยึดเป็นของผู้ร้อง ไม่ใช่ของจำเลย โจทก์คัดค้านว่าผู้ร้องได้สละสิทธิยกให้จำเลยแล้ว เช่นนี้เท่ากับว่าโจทก์ปฏิเสธว่านาไม่ใช่ของผู้ร้อง ที่พิพาทเป็นที่ดินมือเปล่าข้อเท็จจริงยังโต้เถียงกันอยู่ว่าใครเป็นผู้ครอบครอง หน้าที่นำสืบจึงตกแก่ผู้ร้อง เมื่อผู้ร้องไม่สืบพยานก็ต้องแพ้คดี
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องจากโจทก์นำเจ้าพนักงานยึดนาไม่มีหนังสือสำคํยแปลงหนึ่ง โดยอ้างว่าเป็นของจำเลย นางมูลร้องขัดทรัพย์ว่าเป็นของผู้ร้อง ขอให้ถอนการยึด
โจทก์แก้ว่า ผู้ร้องขัดทรัพย์ได้สละสิทธิมอบนาพิพาทให้จำเลยครอบครองมา ๓ ปีแล้ว จำเลยจึงมีสิทธิครอบครองตามกฎหมาย
ผู้ร้องขัดทรัพย์ว่าได้ให้นายเพ้งเช่าทำนานานแล้ว ไม่ได้ยกให้จำเลย
ทั้งสองฝ่ายต่างไม่สืบพยาน
ศาลชั้นต้นเห็นว่าหน้าที่นำสืบตกผู้ร้องเมื่อไมสืบก็ต้องแพ้คดี จึงให้ยกคำร้องของผู้ร้องเสีย
มีควาาเห็นแย้งของผู้พิพากษานายหนึ่งว่าโจทก์รับว่านาพิพาทเป็นของผู้ร้องจริง แต่อ้างขึ้นใหม่ว่าผู้ร้องยกให้จำเลย โจทก์จึงมีหน้าที่นำสืบก่อน
ผู้ร้องขัดทรัพย์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้ร้องขัดทรัพย์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ผู้ร้องขัดทรัพย์ย่อมอยู่ในฐานะเป็นโจทก์ ส่วนโจทก์เดิมอยู่ในฐานะผู้คัดค้าน การที่โจทก์ให้การว่าผู้ร้องได้สละสิทธิมอบที่พิพาทให้จำเลยครอบครอง ๓ ปีเศษนั้น เป็นคำคัดค้านว่าขณะที่นาพิพาทไม่ใช่ของผู้ร้อง เป็นองจำเลยแล้ว เมื่อผู้ร้องขัดทรัพย์อ้างว่าที่พิพาทเป็นของตน และข้อเท็จจริงยังเถียงกันอยู่ว่าจำเลยหรือฝ่ายผู้ร้องเป็นครอบครองที่นาพิพาท ผู้ร้องจึงมีหน้าที่ต้องนำสืบให้สมข้อกล่าวอ้าง มิฉะนั้นก็ต้องแพ้คดี ศาลฎีกาจึงพิพากษายืน