คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 257/2497

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

มีสายสร้อยทองคำเป็นสินเดิมเมื่อสมรสกันต่อมาได้ขายสายสร้อยสินเดิมเอาเงินมาทำทุนได้ 30 ปีเศษมาแล้วเวลานั้นราคา 600 บาท ครั้นสามีตายต้องแบ่งสินบริคณห์จะคิดราคาสายสร้อยตามราคาปัจจุบันหักสินสมรสใช้ไม่ได้ต้องคิดตามราคา 600 บาท ในเวลาที่ขายทองนั้น

ย่อยาว

คดีนี้อัยการฟ้องแทนนายกังเคี้ยงหรือเซี้ยง แซ่เตี้ยว ซึ่งเป็นบุตรนายเต๊กอ้ายและนางหมิกจำเลย โดยกล่าวว่านายเต๊กอ้ายนางหมิกสมรสกันมาได้ 30 ปีเศษ นายเต๊กอ้ายมีทุนสินเดิม เกิดทรัพย์สินสมรสหลายอย่าง นายเต๊กอ้ายตายเมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2493 ก่อนตายนายเต๊กอ้ายได้ทำพินัยกรรมแบ่งทรัพย์ให้ทายาท ซึ่งนายกังเคี้ยงได้รับที่สวน 2 แปลงกับเรือเรือนโรงรวมราคา 75,000 บาทจำเลยเข้าครอบครองเสียไม่ยอมให้แก่นายกังเคี้ยง และจำเลยเก็บผลประโยชน์จากที่สวน 2 แปลงนั้น จึงขอให้บังคับจำเลยส่งทรัพย์ดังกล่าวให้นายกังเคี้ยงและห้ามไม่ให้จำเลยเข้าเกี่ยวข้องต่อไปกับให้บังคับจำเลยใช้ค่าผลประโยชน์ที่เก็บไปเป็นเงิน 5,000 บาท และต่อ ๆ ไปอีกเดือนละ 2,500 บาทจนกว่าคดีจะถึงที่สุด

จำเลยให้การว่าจำเลยมีทุนสินเดิมฝ่ายเดียวคือทองคำหนัก 15 บาท คิดเป็นราคาเงิน 600 บาท กับเรือน 1 หลังราคา 5,000 บาท จำเลยได้ขายทองสินเดิมมาลงทุนจึงเกิดทรัพย์สมรสขึ้นและว่านายเต็กอ้ายไม่มีอำนาจทำพินัยกรรมยกทรัพย์ให้บุตรโดยจำเลยมิได้รู้เห็นยินยอมด้วย ผลประโยชน์ที่จำเลยเก็บได้จากสวนมะพร้าวรายพิพาทก็หาได้เท่าที่โจทก์ฟ้องไม่

ศาลจังหวัดสุราษฎร์ธานีพิจารณาแล้วฟังว่า นายเต๊กอ้ายและจำเลยมีทุนสินเดิมด้วยกัน และวินิจฉัยว่าพินัยกรรมของนายเต๊กอ้ายมีผลสมบูรณ์เฉพาะทรัพย์ที่เป็นส่วนของนายเต๊กอ้าย ส่วนผลประโยชน์ที่จำเลยเก็บจากที่สวนรายพิพาทใน พ.ศ. 2493 คิดได้เป็นราคาเงิน 3,650 บาท และจะได้ต่อไปเดือนละ 230 บาท พิพากษาว่าทรัพย์ตามที่โจทก์ฟ้องเป็นสินสมรสระหว่างนายเต๊กอ้ายกับจำเลย ให้แบ่งออกเป็น 3 ส่วน เป็นของนายเต๊กอ้าย 2 ส่วนให้ตกได้แก่นายกังเคี้ยงอีกส่วนหนึ่งให้เป็นของจำเลย ให้จำเลยใช้เงิน3,650 บาทกับต่อไปเดือนละ 230 บาท ให้นายกังเคี้ยงจนกว่าคดีจะถึงที่สุด

จำเลยอุทธรณ์ว่านายเต๊กอ้ายไม่มีสินเดิม ต้องแบ่งสินสมรสให้จำเลย 2 ส่วน ให้เป็นของนายเต๊กอ้ายส่วนเดียว และต้องคืนเรือนสินเดิมกับค่าทองคำหนัก 15 บาทเป็นเงิน 7,500 บาทให้จำเลย

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยฎีกาต่อมา

ศาลฎีกาได้ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาคดีนี้แล้วเห็นว่า ทางพิจารณาโจทก์มีพยานฟังได้ว่านายเต๊กอ้ายมีทุนสินเดิมจริงข้อคัดค้านของจำเลยเป็นแต่เพียงจะให้สันนิษฐานเอาโดยไม่ชอบด้วยเหตุผลทั้งนั้นส่วนเรื่องสินเดิมของจำเลยศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงต้องกับศาลชั้นต้นว่าจำเลยมีสายสร้อยทองคำ 2 สาย แต่ว่าจะฟังเอาเป็นแน่นอนว่ามีราคาเท่าใดไม่ได้ เพราะคำพยานจำเลยแตกต่างกันจึงไม่คิดหักให้จำเลยข้อนี้ศาลฎีกาเห็นว่าจะต้องคิดหักค่าทุนสินเดิมให้จำเลยก่อนตามกฎหมายและข้อเท็จจริงมีเหตุผลควรฟังได้ว่าสายสร้อย 2 สายนั้น มีน้ำหนักทองคำประมาณ 15 บาท จำเลยจะให้คิดราคาตามราคาปัจจุบัน (ตามที่จำเลยแสดงไว้ในชั้นอุทธรณ์ว่ามีราคา 7,500 บาท) นั้นไม่ชอบ เพราะเป็นที่ได้ขายเอาเงินมาทำทุนเมื่อ 30 ปีกว่ามาแล้ว ซึ่งเวลานั้นราคาทองคำต่ำกว่าราคาในปัจจุบันมากนัก และจำเลยก็ได้แสดงไว้ในคำให้การว่าสายสร้อยทั้งนี้มีราคาในเวลานั้นเป็นเงิน 600 บาทจึงควรคิดหักให้จำเลยเพียงเท่านั้น ส่วนเรื่องเรือนที่ศาลอุทธรณ์ไม่ฟังว่าเป็นสินเดิมของจำเลยก็ถูกต้องแล้ว และจำเลยก็มิได้โต้แย้งความข้อนี้ขึ้นมาในฎีกา

ศาลฎีกาพิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่า ให้หักค่าทุนสินเดิมเป็นเงิน 600 บาท ออกจากทรัพย์ตามที่โจทก์ฟ้องนั้นให้จำเลยเสียก่อนแบ่ง นอกนั้นคงยืน ค่าธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับแก่จำเลยแต่ค่าขึ้นศาลชั้นฎีกา ศาลชั้นต้นเรียกเกินมา ให้คืนให้จำเลยเสีย 625 บาท

Share