คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7047/2543

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ผู้คัดค้านทั้งห้าเป็นกรรมการลูกจ้าง เหตุคดีนี้เกิดในระหว่างข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างมีผลใช้บังคับอยู่ ผู้คัดค้านทั้งห้าและพนักงานกว่า 300 คน ได้นัดหมายกันไม่ยอมรับค่าจ้างในช่วงพักเที่ยงและพร้อมใจกันผละงานไปพบ จ. ผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายธุรการของผู้ร้องเพื่อขอให้จ่ายค่าจ้างในเวลา 15 นาฬิกา เป็นการวางแผนตระเตรียมกันมาก่อน โดยมีผู้คัดค้านทั้งห้าซึ่งเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงของสหภาพแรงงานเป็นผู้นำการเคลื่อนไหว เมื่อ จ. ปฏิเสธไม่ยอมปฏิบัติตาม ข้อเรียกร้องทุกข้อแล้ว ผู้คัดค้านทั้งห้ากับพวกไม่พอใจโดยผู้คัดค้านที่ 1 ได้กล่าวสบประมาทการบริหารงานของผู้ร้องและหมิ่นประมาท จ. จากนั้นผู้คัดค้านทั้งห้ากับพวกได้รวมตัวไม่ยอมกลับเข้าทำงานและเรียกร้องให้พนักงานที่ไม่ได้เข้าร่วมให้หยุดงานด้วยโดยมีการข่มขู่ ด่าว่าและจดชื่อพนักงานที่ยอมรับค่าจ้างในช่วงพักเที่ยงและไม่เข้าร่วมในการหยุดงานในวันเกิดเหตุ การกระทำของผู้คัดค้านทั้งห้าเป็นการจงใจทำให้นายจ้างได้รับความเสียหาย ทั้งยังเป็นการฝ่าฝืน ระเบียบข้อบังคับการทำงานของผู้ร้อง อันเป็นกรณีร้ายแรงด้วย แม้ผู้คัดค้านทั้งห้าจะเป็นกรรมการลูกจ้างและอยู่ ในระหว่างที่ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างมีผลใช้บังคับอยู่ก็ตาม ผู้ร้องย่อมชอบที่จะขออนุญาตศาลแรงงานเพื่อเลิกจ้าง ผู้คัดค้านทั้งห้าได้ตามบทบัญญัติดังกล่าว
เดิมผู้ร้องกำหนดจ่ายค่าจ้างให้แก่ลูกจ้างระหว่างเวลา 15 – 17 นาฬิกา เมื่อผู้ร้องปิดงานและต่อมาเมื่อผู้ร้องเปิดงานอีกครั้ง เมื่อถึงกำหนดจ่ายค่าจ้างครั้งแรกผู้ร้องกำหนดจ่ายค่าจ้างระหว่างเวลา 12 – 13 นาฬิกา ผู้คัดค้านทั้งห้าและพนักงานอื่นต่างรับค่าจ้างไปจากผู้ร้อง เมื่อถึงกำหนดจ่ายค่าจ้างครั้งที่สอง ผู้ร้องยังคงกำหนดจ่ายค่าจ้างระหว่างเวลา 12 – 13 นาฬิกา การกระทำดังกล่าวของผู้ร้องถือได้ว่าผู้ร้องซึ่งเป็นนายจ้างกระทำผิดข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างขึ้นก่อนจนเป็นเหตุให้ผู้คัดค้านทั้งห้ากระทำการตามคำร้องของผู้ร้องจึงมีเหตุอันควรปรานี ยังไม่สมควรอนุญาตให้ผู้ร้องเลิกจ้างผู้คัดค้านทั้งห้า แต่การกระทำของผู้คัดค้านทั้งห้าเป็นการกระทำผิดฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับการทำงาน ของผู้ร้อง ศาลฎีกาเห็นสมควรลดอัตราค่าจ้างร้อยละ 10 ของอัตราค่าจ้างผู้คัดค้านทั้งห้ารวม 6 เดือน

ย่อยาว

คดีห้าสำนวนนี้ศาลแรงงานกลางให้รวมพิจารณาและพิพากษาเข้าด้วยกัน โดยให้เรียกผู้คัดค้านตามลำดับสำนวนว่าผู้คัดค้านที่ ๑ ถึงที่ ๕
ผู้ร้องทั้งห้าสำนวนยื่นคำร้องว่า ผู้คัดค้านทั้งห้าเป็นลูกจ้างและเป็นกรรมการลูกจ้าง เมื่อวันที่ ๒๕ พฤษภาคม ๒๕๔๑ ซึ่งเป็นวันทำงานผู้ร้องได้กำหนดจ่ายค่าจ้างระหว่างเวลา ๑๒ – ๑๓ นาฬิกา แต่ผู้คัดค้านทั้งห้ากับพวกได้ขัดขวางขู่เข็ญมิให้พนักงานอื่นไปรับค่าจ้าง ต่อมาระหว่างทำงานเวลา ๑๕ นาฬิกา ผู้คัดค้านทั้งห้ากับพวกได้ชักชวนและขู่เข็ญพนักงานให้ร่วมผละงานกับผู้คัดค้านทั้งห้าจนผู้ร้องต้องหยุดงานถึงเวลา ๑๗ นาฬิกา เป็นการจงใจทำให้ผู้ร้องได้รับความเสียหายอันเป็นการฝ่าฝืนข้อบังคับของผู้ร้องอย่างร้ายแรง ทั้งขณะเกิดเหตุผู้คัดค้านทั้งห้ากับพวกได้แสดงกริยาวาจาหยาบคายก้าวร้าวดูหมิ่นนายจรินทร์ เดชธิดา ซึ่งเป็นผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายธุรการและบุคคลของผู้ร้อง นอกจากนี้ผู้คัดค้านทั้งห้าได้กระทำตนเป็นปรปักษ์และมีทัศนคติที่ไม่ดีต่อผู้ร้องโดยออกหนังสือโจมตีผู้ร้องในทางเสื่อมเสียและใช้ถ้อยคำอันไม่สมควร เป็นพฤติการณ์ที่ไม่สามารถทำงานร่วมกันต่อไปได้ ขอให้อนุญาตให้ผู้ร้องเลิกจ้างผู้คัดค้านทั้งห้า
ผู้คัดค้านทั้งห้ายื่นคำคัดค้านขอให้ยกคำร้อง
ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งอนุญาตให้ผู้ร้องเลิกจ้างผู้คัดค้านทั้งห้าได้
ผู้คัดค้านทั้งห้าอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า ปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของผู้คัดค้านทั้งห้าว่า ผู้ร้องจะขออนุญาตจากศาลแรงงานกลางให้เลิกจ้างผู้คัดค้านทั้งห้าซึ่งเป็นกรรมการลูกจ้างที่เกี่ยวข้องกับข้อเรียกร้องในระหว่างที่ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างมีผลใช้บังคับอยู่ได้หรือไม่ เห็นว่า ตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๑๘ มาตรา ๕๒ บัญญัติว่า “ห้ามมิให้นายจ้างเลิกจ้าง ลดค่าจ้าง ลงโทษ ขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของกรรมการลูกจ้าง หรือกระทำการใด ๆ อันอาจเป็นผลให้กรรมการลูกจ้างไม่สามารถทำงานอยู่ต่อไปได้ เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากศาลแรงงาน” และมาตรา ๑๒๓ บัญญัติว่า “ในระหว่างที่ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างหรือคำชี้ขาดมีผลใช้บังคับ ห้ามมิให้นายจ้างเลิกจ้างลูกจ้าง ผู้แทนลูกจ้าง กรรมการ อนุกรรมการหรือสมาชิกสหภาพแรงงาน หรือกรรมการ หรืออนุกรรมการสหพันธ์แรงงาน ซึ่งเกี่ยวข้องกับข้อเรียกร้อง เว้นแต่บุคคลดังกล่าว
(๑) ทุจริตต่อหน้าที่หรือกระทำความผิดอาญาโดยเจตนาแก่นายจ้าง
(๒) จงใจทำให้นายจ้างได้รับความเสียหาย
(๓) ฝ่าฝืนข้อบังคับ ระเบียบ หรือคำสั่งอันชอบด้วยกฎหมายของนายจ้างโดยนายจ้างได้ว่ากล่าวและตักเตือนเป็นหนังสือแล้ว เว้นแต่กรณีที่ร้ายแรงนายจ้างไม่จำต้องว่ากล่าวและตักเตือน ทั้งนี้ ข้อบังคับ ระเบียบหรือคำสั่งนั้นต้องมิได้ออกเพื่อขัดขวางมิให้บุคคลดังกล่าวดำเนินการเกี่ยวกับข้อเรียกร้อง หรือ
(๔) ละทิ้งหน้าที่เป็นเวลาสามวันทำงานติดต่อกันโดยไม่มีเหตุอันสมควร
(๕) กระทำการใด ๆ เป็นการยุยง สนับสนุนหรือชักชวนให้มีการฝ่าฝืนข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างหรือคำชี้ขาด คดีนี้ศาลแรงงานกลางพิจารณาพยานหลักฐานของคู่ความทุกฝ่ายแล้วฟังข้อเท็จจริงว่า ผู้คัดค้านทั้งห้าเป็นกรรมการลูกจ้างเหตุคดีนี้เกิดในระหว่างข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างมีผลใช้บังคับอยู่ ผู้คัดค้านทั้งห้าและพนักงานกว่า ๓๐๐ คน ได้นัดหมายกันไม่ยอมรับค่าจ้างในช่วงพักเที่ยงและพร้อมใจกันผละงานไปพบนายจรินทร์เพื่อขอให้จ่ายค่าจ้างในเวลา ๑๕ นาฬิกา จึงเป็นการวางแผนตระเตรียมกันมาก่อนโดยมีผู้คัดค้านทั้งห้าซึ่งเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงของสหภาพแรงงานเป็นผู้นำการเคลื่อนไหว เมื่อนายจรินทร์ปฏิเสธไม่ยอมปฏิบัติตามข้อเรียกร้องทุกข้อแล้ว ผู้คัดค้านทั้งห้ากับพวกไม่พอใจโดยผู้คัดค้านที่ ๑ ได้กล่าวสบประมาทการบริหารงานของผู้ร้องและหมิ่นประมาทนายจรินทร์ จากนั้นผู้คัดค้านทั้งห้ากับพวกได้รวมตัวไม่ยอมกลับเข้าทำงานและเรียกร้องให้พนักงานที่ไม่ได้เข้าร่วมให้หยุดงานด้วยโดยมีการข่มขู่ ด่าว่าและจดชื่อพนักงานที่ยอมรับค่าจ้างในช่วงพักเที่ยงและไม่เข้าร่วมในการหยุดงานในวันเกิดเหตุ จากข้อเท็จจริงดังกล่าวเห็นได้ว่า การกระทำของผู้คัดค้านทั้งห้าเป็นการจงใจทำให้นายจ้างได้รับความเสียหาย ทั้งยังเป็นการฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับการทำงานของผู้ร้อง บทที่ ๕ ข้อ ๑๓ และ ข้อ ๒๒ อันเป็นกรณีร้ายแรงด้วย แม้ผู้คัดค้านทั้งห้าจะเป็นกรรมการลูกจ้างและอยู่ในระหว่างที่ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างมีผลใช้บังคับอยู่ก็ตาม ผู้ร้องย่อมชอบที่จะขออนุญาตศาลแรงงานกลางเพื่อเลิกจ้างผู้คัดค้านทั้งห้าได้ตามบทบัญญัติดังกล่าว อุทธรณ์ของผู้คัดค้านทั้งห้าฟังไม่ขึ้น แต่อย่างไรก็ดี ข้อเท็จจริงฟังได้เป็นยุติว่าเดิมผู้ร้องกำหนดจ่ายค่าจ้างให้แก่ลูกจ้างระหว่างเวลา ๑๕ – ๑๗ นาฬิกา เมื่อผู้ร้องปิดงานและต่อมาเมื่อผู้ร้องเปิดงานอีกครั้ง เมื่อถึงกำหนดจ่ายค่าจ้างครั้งแรกผู้ร้องกำหนดจ่ายค่าจ้างระหว่างเวลา ๑๒ – ๑๓ นาฬิกา ผู้คัดค้านทั้งห้าและพนักงานอื่นต่างรับค่าจ้างไปจากผู้ร้อง เมื่อถึงกำหนดจ่ายค่าจ้างครั้งที่สอง ผู้ร้องยังคงกำหนดจ่ายค่าจ้างระหว่างเวลา ๑๒ – ๑๓ นาฬิกา การกระทำดังกล่าวของผู้ร้อง ถือได้ว่าผู้ร้องซึ่งเป็นนายจ้างกระทำผิดข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างขึ้นก่อนจนเป็นเหตุให้ผู้คัดค้านทั้งห้ากระทำการตามคำร้องของผู้ร้องจึงมีเหตุอันควรปรานี ยังไม่สมควรอนุญาตให้ผู้ร้องเลิกจ้างผู้คัดค้านทั้งห้า ที่ศาลแรงงานกลางอนุญาตให้ผู้ร้องเลิกจ้างผู้คัดค้านทั้งห้านั้นไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา อุทธรณ์ในส่วนนี้ของผู้คัดค้านทั้งห้าฟังขึ้น แต่การกระทำของผู้คัดค้านทั้งห้าดังที่ได้วินิจฉัยแล้ว เป็นการกระทำผิดฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับการทำงานของผู้ร้อง จึงเห็นสมควรลดอัตราค่าจ้างร้อยละ ๑๐ ของอัตราค่าจ้างผู้คัดค้านทั้งห้ารวม ๖ เดือน
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลดอัตราค่าจ้างร้อยละ ๑๐ ของอัตราค่าจ้างผู้คัดค้านทั้งห้าตามที่ปรากฏในคำร้องรวม ๖ เดือน.

Share