แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
โจทก์เลิกจ้างลูกจ้างทั้งห้าที่เป็นสมาชิกสหภาพแรงงานซึ่งเกี่ยวข้องกับข้อเรียกร้องในระหว่างที่ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างมีผลใช้บังคับ โดยลูกจ้างดังกล่าวมิได้กระทำความผิดตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 มาตรา 123(1)ถึง (5) ทั้งขณะเลิกจ้างผลประกอบการของโจทก์ก็ยังมีกำไร ส่วนที่โจทก์อ้างว่าภาวะเศรษฐกิจมีผลกระทบกระเทือนต่อสถานะของโจทก์จนต้องขาดทุนและต้องปิดกิจการในอนาคตก็เป็นเพียงการคาดคะเนของโจทก์เท่านั้น จะกระทบกระเทือนโจทก์ถึงขนาดต้องดำเนินการดังกล่าวหรือไม่ยังไม่แน่นอน ขณะโจทก์เลิกจ้างลูกจ้างทั้งห้าจึงยังไม่มีเหตุที่โจทก์จะเลิกจ้างโดยชอบด้วยกฎหมาย การที่โจทก์เลิกจ้างลูกจ้างทั้งห้าจึงเป็นการกระทำอันไม่เป็นธรรม
ย่อยาว
คดีทั้งห้าสำนวนศาลแรงงานกลางมีคำสั่งให้รวมการพิจารณาพิพากษาเข้าด้วยกัน
โจทก์ทั้งห้าสำนวนฟ้องและแก้ไขคำฟ้องทำนองเดียวกันว่า จำเลยทั้งสิบสามซึ่งเป็นคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ มีคำสั่งที่ 89-93/2540 วินิจฉัยชี้ขาดและออกคำสั่งว่าการที่โจทก์เลิกจ้างนายมานพ นายสมพงษ์ นางลัดดา นายประวิทย์และนายวาสิต เป็นการกระทำอันไม่เป็นธรรม ให้โจทก์รับนายมานพกับนายสมพงษ์กลับเข้าทำงานในตำแหน่งหน้าที่และอัตราค่าจ้างเหมือนเดิม และให้จ่ายค่าเสียหายแก่นางลัดดา นายประวิทย์ และนายวาสิต คำสั่งของจำเลยทั้งสิบสามเป็นคำสั่งที่คลาดเคลื่อนต่อข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย เพราะโจทก์มีอำนาจเลิกจ้างได้เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจถดถอยและมีผลกระทบกระเทือนต่อสถานะของโจทก์ จึงไม่เป็นการกระทำอันไม่เป็นธรรม ขอให้เพิกถอนคำสั่งที่ 89-93/2540 ของจำเลยทั้งสิบสาม
จำเลยทั้งสิบสามทั้งห้าสำนวนให้การว่า คำสั่งที่ 89-93/2540 ลงวันที่ 8 ตุลาคม 2540 ถูกต้องตามกฎหมายและข้อเท็จจริง ไม่มีเหตุที่โจทก์จะฟ้องขอเพิกถอนขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า สหภาพแรงงานยื่นข้อเรียกร้องฉบับลงวันที่ 2 ธันวาคม 2539 ต่อโจทก์ และข้อเรียกร้องสามารถตกลงกันได้ตามบันทึกฉบับลงวันที่ 27 มีนาคม 2540 เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2540 โจทก์มีคำสั่งเลิกจ้างนายมานพ นายสมพงษ์ นางลัดดา นายประวิทย์ และนายวาสิต ลูกจ้างผู้เกี่ยวข้องกับข้อเรียกร้องของโจทก์ซึ่งเป็นสมาชิกสหภาพแรงงานในระหว่างที่ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างมีผลใช้บังคับ โดยลูกจ้างดังกล่าวมิได้กระทำการดังที่ระบุไว้ตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 มาตรา 123(1) ถึง (5) และแม้ขณะเลิกจ้างภาวะเศรษฐกิจของประเทศไทยตกต่ำ แต่ผลประกอบการของโจทก์ในปีที่เลิกจ้างยังมีกำไรการเลิกจ้างของโจทก์จึงเป็นการกระทำอันไม่เป็นธรรม พิพากษายกฟ้อง
โจทก์ทั้งห้าสำนวนอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า “ที่โจทก์อุทธรณ์ว่า โจทก์เลิกจ้างนายมานพนายสมพงษ์ นางลัดดา นายประวิทย์ และนายวาสิต เพราะเศรษฐกิจตกต่ำลงเรื่อย ๆไม่รู้ว่าจะเริ่มดีขึ้นเมื่อใด มีผลกระทบกระเทือนต่อสถานะของโจทก์จนต้องขาดทุนและต้องปิดกิจการในอนาคตอันใกล้ โจทก์จึงต้องปรับโครงสร้างขององค์การโดยกำหนดกฎเกณฑ์เพื่อเลิกจ้างลูกจ้างเป็นการทั่วไปโดยเสมอภาคและสุจริต มิได้กำหนดกฎเกณฑ์เพื่อกลั่นแกล้งลูกจ้างโดยเฉพาะเจาะจง แม้ลูกจ้างมิได้กระทำความผิดตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 มาตรา 123 กับเลิกจ้างในระหว่างที่ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างมีผลใช้บังคับและโจทก์ยังไม่ประสบภาวะขาดทุนก็มีเหตุอันสมควรในการเลิกจ้าง และไม่เป็นการกระทำอันไม่เป็นธรรมนั้น เห็นว่า โจทก์เลิกจ้างลูกจ้างทั้งห้าที่เป็นสมาชิกสหภาพแรงงานซึ่งเกี่ยวข้องกับข้อเรียกร้องในระหว่างที่ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างมีผลใช้บังคับ โดยลูกจ้างดังกล่าวมิได้กระทำความผิดตามมาตรา 123(1) ถึง (5) ทั้งขณะเลิกจ้างผลประกอบการของโจทก์ก็ยังมีกำไรส่วนที่โจทก์อ้างว่าภาวะเศรษฐกิจมีผลกระทบกระเทือนต่อสถานะของโจทก์จนต้องขาดทุนและต้องปิดกิจการในอนาคตก็เป็นเพียงการคาดคะเนของโจทก์เท่านั้น จะกระทบกระเทือนโจทก์ถึงขนาดต้องดำเนินการดังกล่าวหรือไม่ยังไม่แน่นอน ขณะโจทก์เลิกจ้างลูกจ้างทั้งห้าจึงยังไม่มีเหตุที่โจทก์จะเลิกจ้างโดยชอบด้วยกฎหมาย การที่โจทก์เลิกจ้างลูกจ้างทั้งห้าเป็นการกระทำอันไม่เป็นธรรมที่ศาลแรงงานกลางพิพากษายกฟ้องโจทก์ชอบแล้วอุทธรณ์โจทก์ทั้งห้าสำนวนฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน