คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7040/2537

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่า ที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของรวมโจทก์ไม่ประสงค์ให้จำเลยเช่าต่อไป ขอให้บังคับจำเลยรื้อถอนร้านค้าที่ปลูกอยู่ออกไป จำเลยให้การต่อสู้ว่า โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องเพราะจำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทร่วมกับโจทก์ถือได้ว่าจำเลยได้ให้การต่อสู้กรรมสิทธิ์ในทรัพย์พิพาท ศาลจึงพิพากษาว่าที่ดินในเนื้อที่ 44 ตารางวา ในส่วนของจำเลยถือว่าได้แบ่งแยกเป็นส่วนสัดแล้ว จำเลยคงละเมิดสิทธิของโจทก์แต่ในส่วนที่เกิน 44 ตารางวาได้โดยที่จำเลยไม่จำต้องฟ้องแย้งและไม่ถือว่าเป็นการพิพากษาเกินกว่าคำฟ้องและข้อต่อสู้ของจำเลย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2528 จำเลยทั้งสองได้ทำสัญญาเช่าที่ดินเนื้อที่ 64 ตารางวา ตามตราจองเลขที่ 217จากนายบุญช่วย ชูประเสริฐ เจ้าของร่วมคนหนึ่ง มีกำหนดระยะเวลา2 ปี เริ่มตั้งแต่วันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2528 ถึงวันที่ 7 กุมภาพันธ์2530 อัตราค่าเช่าปีละ 2,000 บาท ชำระค่าเช่าปีละหนึ่งครั้งหลังจากเช่าแล้วจำเลยทั้งสองได้ปลูกสร้างอาคารชั้นเดียวทำเป็นร้านขายอาหารครบกำหนดสัญญาแล้วจำเลยทั้งสองไม่ได้ทำสัญญาเช่าต่อและไม่ได้รื้อถอนอาคารออกไป ต่อมาวันที่ 28 มีนาคม 2532นายบุญช่วย ชูประเสริฐ กับเจ้าของร่วมอีก 37 คน ได้ขายที่ดินเฉพาะส่วนให้โจทก์เป็นเนื้อที่ 11 ไร่ 26 ตารางวา คงเหลือเป็นที่ดินของจำเลยที่ 2 จำนวน 44 ตารางวา โจทก์ไม่ประสงค์จะให้จำเลยทั้งสองอยู่ในที่ดินที่เช่าต่อไป ขอให้บังคับจำเลยรื้อถอนร้านค้าที่ปลูกอยู่ในที่ดินตราจองเลขที่ 217 ตำบลบ้านพระอำเภอเมืองปราจีนบุรี จังหวัดปราจีนบุรี ออกไปจากที่ดินที่เคยเช่าจากนายบุญช่วย ชูประเสริฐ ห้ามมิให้จำเลยและบริวารเข้ามาเกี่ยวข้องอีกต่อไปให้จำเลยใช้ค่าเสียหายให้โจทก์เดือนละ 500 บาทนับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจำเลยและบริวารจะไม่มาเกี่ยวข้องกับที่ดินที่เคยเช่าอีกต่อไป
จำเลยทั้งสองให้การว่า โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องจำเลยทั้งสองเพราะจำเลยทั้งสองเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินตามฟ้องร่วมกับโจทก์ที่ดินยังไม่มีการแบ่งแยก ที่ดินตามฟ้องเป็นที่ไร่ จำเลยทั้งสองได้เช่าที่ดินทำประโยชน์ก่อนโจทก์มาซื้อโดยไม่แจ้งให้จำเลยทั้งสองทราบก่อน จึงเป็นการขัดกับพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อการเกษตรกรรม พ.ศ. 2524 จำเลยทั้งสองมีสิทธิซื้อคืนจากโจทก์ได้โจทก์บอกเลิกการเช่านับถึงวันฟ้องไม่เกินสองเดือน จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยรื้อถอนอาคารส่วนที่เกินเนื้อที่44 ตารางวา ออกไปจากที่ดินตราจองเลขที่ 217 ตำบลบ้านพระอำเภอเมืองปราจีนบุรี จังหวัดปราจีนบุรี ห้ามมิให้จำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้องในที่ดินส่วนที่เกิน 44 ตารางวา อีกต่อไป ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 100 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยและบริวารจะออกไปจากที่ดินส่วนที่เกินเนื้อที่ 44 ตารางวา
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ในส่วนของจำเลยที่ 2 ถือว่าได้แบ่งแยกเป็นสัดส่วนแล้ว คงละเมิดสิทธิของโจทก์ในส่วนที่เกิน 44 ตารางวาซึ่งจำเลยทั้งสองจะต้องรื้อถอนอาคารที่ปลูกรุกล้ำที่ดินของโจทก์ออกไป โดยจำเลยทั้งสองจะรื้อถอนด้านใดด้านหนึ่งหรือทุกด้านก็ได้ในส่วนที่เกิน 44 ตารางวา หาจำเป็นที่ศาลชั้นต้นจะต้องกำหนดทิศทางให้จำเลยทั้งสองทำการรื้อถอนแต่อย่างใดไม่ แล้วพิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คงมีปัญหาข้อกฎหมายต้องวินิจฉัยตามที่โจทก์ฎีกาว่า จำเลยทั้งสองให้การต่อสู้เพียงว่า จำเลยที่ 2เป็นเจ้าของที่ดินร่วมกับโจทก์ จำเลยมิได้ให้การและฟ้องแย้งว่าที่ดินของจำเลยที่ 2 ที่มีอยู่ 44 ตารางวา คือส่วนที่จำเลยทั้งสองได้เช่าและปลูกร้านค้าอยู่ ฉะนั้นที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าที่ดินในเนื้อที่ 44 ตารางวา ในส่วนของจำเลยที่ 2 ถือว่าได้แบ่งแยกเป็นส่วนสัดแล้ว จำเลยทั้งสองคงละเมิดสิทธิของโจทก์ แต่ในส่วนที่เกิน 44 ตารางวา เป็นการพิพากษาเกินกว่าคำฟ้องและข้อต่อสู้ของจำเลยนั้น เห็นว่า การต่อสู้คดีอ้างกรรมสิทธิ์ในทรัพย์พิพาทนั้นจำเลยอาจจะให้การต่อสู้กรรมสิทธิ์โดยมิได้ฟ้องแย้ง หรือจะฟ้องแย้งด้วยก็ได้ ถ้าฟ้องแย้งและฟังได้ว่ากรรมสิทธิ์ในทรัพย์พิพาทเป็นของจำเลย ศาลก็จะบังคับให้ตามฟ้องแย้ง แต่ถ้าหากมิได้ฟ้องแย้งศาลก็จะพิพากษาเพียงให้ยกฟ้องหรือไม่บังคับให้โจทก์ตามฟ้องในคดีนี้จำเลยทั้งสองให้การต่อสู้ว่า โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องเพราะจำเลยทั้งสองเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินตามฟ้องร่วมกับโจทก์ถือได้ว่าจำเลยทั้งสองเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในทรัพย์พิพาทศาลอุทธรณ์จึงพิพากษาดังกล่าวข้างต้นได้โดยที่จำเลยทั้งสองไม่จำต้องฟ้องแย้งและไม่ถือว่าเป็นการพิพากษาเกินกว่าคำฟ้องและข้อต่อสู้ของจำเลย ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย”
พิพากษายืน

Share