คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7167/2542

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

นายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทได้ดำเนินการถอนทะเบียนบริษัท พ. เป็นบริษัทร้างและขีดชื่อออกจากทะเบียน ดังนี้ เมื่อปรากฏว่าในขณะที่ขีดชื่อบริษัทจากทะเบียน บริษัท พ. ยังทำการค้าขายหรือยังประกอบการงานอยู่ เมื่อผู้ถือหุ้นของบริษัทร้องขอ กรณีจึงมีเหตุที่ศาลจะสั่งให้นายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัท กลับจดชื่อบริษัทคืนเข้าสู่ทะเบียนได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1246(6)

ย่อยาว

ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า บริษัทพาซ่าร์โคราช อบ อาบ นวด จำกัด จดทะเบียนต่อสำนักงานทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทจังหวัดนครราชสีมา เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2523ผู้ร้องเป็นผู้ถือหุ้นคนหนึ่งของบริษัท หลังจากบริษัทดังกล่าวจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลแล้ว บริษัทได้ทำการค้าขายและให้บริการตามวัตถุประสงค์ของบริษัทเรื่อยมาไม่เคยหยุด จนกระทั่งปี 2532 นายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทจังหวัดนครราชสีมาได้ขีดชื่อบริษัทออกจากทะเบียน เพราะกรรมการของบริษัทเพิกเฉยจงใจไม่ตอบหนังสือของนายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทจังหวัดนครราชสีมาเพื่อให้บริษัทถูกขีดชื่อออกจากทะเบียนทำให้บริษัทและผู้ถือหุ้นได้รับความเสียหาย เนื่องจากบริษัทมีทรัพย์สินเป็นที่ดินเท่าที่ตรวจสอบพบในขณะนี้จำนวน 4 แปลง มีชื่อนายเทพ สัตยานุชิตกรรมการของบริษัทและผู้ถือหุ้นของบริษัทบางคนเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์แทนบริษัทปัจจุบันนายเทพถึงแก่กรรมและทายาทของนายเทพและผู้มีชื่อในโฉนดที่ดินกำลังดำเนินการเพื่อโอนขายที่ดินอันเป็นทรัพย์สินของบริษัทให้แก่บุคคลภายนอกจึงขอให้ศาลมีคำสั่งให้นายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทจังหวัดนครราชสีมา กลับจดชื่อบริษัทคืนเข้าสู่ทะเบียน

ผู้คัดค้านซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นคนหนึ่งของบริษัทดังกล่าว และเป็นผู้จัดการมรดกของนายเทพ กรรมการและผู้ถือหุ้นคนหนึ่งของบริษัทยื่นคำคัดค้านว่า บริษัทไม่ได้ประกอบการกิจการใด ๆ จึงไม่มีเหตุที่จะต้องจดทะเบียนกลับคืนเข้าสู่ทะเบียนอีก ขอให้ยกคำร้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้นายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทจังหวัดนครราชสีมากลับจดชื่อบริษัทพาซ่าร์โคราช อบอาบ นวด จำกัด คืนเข้าสู่ทะเบียน

ผู้คัดค้านอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน

ผู้คัดค้านฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นฟังเป็นยุติว่า บริษัทพาซ่าร์โคราชอบ อาบ นวด จำกัด จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัดต่อนายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทจังหวัดนครราชสีมาเมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2523 ผู้ร้องและผู้คัดค้านต่างเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัทดังกล่าว ต่อมาปี 2532 นายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทนครราชสีมาดำเนินการถอนทะเบียนบริษัทดังกล่าวเป็นบริษัทร้างและขีดชื่อออกจากทะเบียน

คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้คัดค้านว่า มีเหตุที่ศาลจะสั่งให้นายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทจังหวัดนครราชสีมา กลับจดชื่อบริษัทคืนเข้าสู่ทะเบียนหรือไม่ โดยผู้คัดค้านฎีกาว่า ตามทางนำสืบของผู้ร้องไม่มีพยานคนใดยืนยันว่าบริษัทพาซ่าร์โคราช อบ อาบ นวด จำกัด ประกอบการค้าอยู่ในขณะที่นายทะเบียนขีดชื่อบริษัทออกจากทะเบียน เอกสารหมาย ร.8 ก็ยืนยันไม่ได้ว่าบริษัทดังกล่าวยังดำเนินกิจการอยู่ เพราะเอกสารดังกล่าวมีนายเทพเพียงคนเดียวลงลายมือชื่อมิใช่กรรมการผู้มีอำนาจของบริษัทแต่อย่างใด กรณีน่าจะเป็นดังที่ผู้คัดค้านนำสืบว่า เมื่อกิจการของบริษัทขาดทุน กรรมการและผู้ถือหุ้นคนอื่น ๆ ของบริษัทไม่มีผู้ใดสนใจ ปล่อยทิ้งไว้จนไม่สามารถดำเนินกิจการของบริษัทต่อไปได้ นายเทพจึงดำเนินกิจการเพียงคนเดียวในฐานะส่วนตัวเนื่องจากใบอนุญาตให้ประกอบกิจการเป็นของตนเองนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า ตามงบดุลและงบกำไรขาดทุนเอกสารหมาย ร.8 มีข้อความระบุไว้โดยชัดแจ้งว่านายเทพยื่นในนามของบริษัทมิใช่ในฐานะส่วนตัว เพราะนายเทพลงลายมือชื่อในฐานะกรรมการผู้จัดการหรือประธานกรรมการ พร้อมทั้งประทับตราสำคัญของบริษัทด้วย แสดงว่าในช่วงระหว่างปี 2532 ถึงปี 2534 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่นายทะเบียนขีดชื่อบริษัทออกจากทะเบียนนั้นบริษัทยังดำเนินกิจการอยู่ และเมื่อพิจารณางบดุลดังกล่าวจะเห็นว่าบริษัทยังมีที่ดินและอาคารรวมทั้งครุภัณฑ์และอุปกรณ์ต่าง ๆเป็นสินทรัพย์ของบริษัท อีกทั้งบริษัทยังมีกำไรจากการดำเนินงานทุกปีที่ผู้คัดค้านอ้างว่าบริษัทขาดเงินทุนหมุนเวียนจึงต้องหยุดกิจการชั่วคราวและถูกนายทะเบียนขีดชื่อออกจากทะเบียน แล้วนายเทพนำที่ดินของตนเองไปขอกู้เงินจากธนาคารมาดำเนินกิจการเพียงผู้เดียว บริษัทไม่มีทรัพย์สินให้จัดการและไม่มีหนี้อื่นอีกนั้นผู้คัดค้านเบิกความลอย ๆ โดยไม่มีพยานหลักฐานอื่นสนับสนุน อีกทั้งเป็นการขัดแย้งกับงบดุลและงบกำไรขาดทุนของบริษัทตามเอกสารหมาย ร.8 จึงไม่มีน้ำหนักให้รับฟังพยานหลักฐานของผู้ร้องมีน้ำหนักดีกว่าพยานหลักฐานของผู้คัดค้าน ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ในขณะที่ขีดชื่อบริษัทจากทะเบียนนั้น บริษัทยังทำการค้าขายหรือยังประกอบการงานอยู่กรณีมีเหตุที่ศาลจะสั่งให้นายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทจังหวัดนครราชสีมา กลับจดชื่อบริษัทคืนเข้าสู่ทะเบียนได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1246(6)

พิพากษายืน

Share