คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7034/2540

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ที่ดินมือเปล่าที่พิพาทที่โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยแบ่งกรรมสิทธิ์ให้แก่โจทก์กึ่งหนึ่งในฐานะเป็นสินสมรสเมื่อปรากฏว่าที่ดินแปลงดังกล่าวนิคมสร้างตนเองยังมิได้มีการออกโฉนดหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้แก่จำเลยและยังอยู่ในระหว่างที่กำลังปฏิบัติตามเงื่อนไขของการจะได้กรรมสิทธิ์ แต่ยังปฏิบัติไม่สำเร็จตามเงื่อนไข และตกอยู่ในบังคับแห่งพระราชบัญญัติจัดที่ดินเพื่อการครองชีพพ.ศ. 2511 มาตรา 12 ที่บัญญัติว่า ภายในห้าปีนับแต่วันที่ได้รับโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ในที่ดินผู้ได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์ในที่ดินจะโอนที่ดินนั้นไปยังผู้อื่นไม่ได้ นอกจากการตกทอดโดยทางมรดกหรือโอนไปยังสหกรณ์ที่ตนเป็นสมาชิกอยู่แล้วแต่กรณี และภายในกำหนดระยะเวลาดังกล่าวที่ดินนั้นไม่อยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดีและเมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยได้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์และถึงแม้หากจะได้มีหลักฐานกรรมสิทธิ์อยู่ ก็ไม่ปรากฏว่าจำเลยได้กรรมสิทธิ์เกินกว่าห้าปีแล้ว ดังนี้ โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องบังคับให้จำเลยโอนที่ดินพิพาทแก่โจทก์ครึ่งหนึ่งในฐานะเป็นสินสมรสได้ ส่วนสิทธิในการที่จะได้กรรมสิทธิ์ในที่พิพาทของโจทก์เป็นเรื่องที่โจทก์และจำเลยจะไปว่ากล่าวกับนิคมสร้างตนเอง เพื่อให้เป็นไปตามกฎระเบียบข้อบังคับและพระราชบัญญัติจัดที่ดินเพื่อการครองชีพพ.ศ. 2511 ต่อไป บ้านพิพาทอันเป็นสินสมรสปัจจุบันมีราคา 70,000 บาทและบ้านหลังนี้จำเลยได้ปลูกแทนบ้านที่ปลูกอยู่เดิม โดยจำเลยได้เสียค่าใช้จ่ายในการปลูกสร้างใหม่ไปเป็นเงิน40,000 บาท ดังนี้การคำนวณราคาบ้านหลังเดิมว่าจำนวนเท่าใดจึงต้องนำราคาบ้านหลังปัจจุบัน หักด้วยราคาค่าใช้จ่ายที่นำมาปลูกขึ้นใหม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์จำเลยเป็นสามีภรรยากัน ต่อมาศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาให้หย่ากันคดีถึงที่สุดแล้ว ขอให้บังคับจำเลยแบ่งสินสมรสตามฟ้องให้โจทก์ครึ่งหนึ่ง หากไม่สามารถแบ่งได้ให้นำทรัพย์สินดังกล่าวออกขายทอดตลาดนำเงินแบ่งให้โจทก์ครึ่งหนึ่ง
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า ที่ดินเนื้อที่ 22 ไร่ ตามรายการที่หนึ่งเพียงรายการเดียวที่เป็นสินสมรส และมีราคาเพียง60,000 บาท ปัจจุบันติดจำนองธนาคารกรุงไทย จำกัด เป็นเงิน85,,000 บาท ซึ่งหนี้ดังกล่าวเกิดขึ้นในระหว่างที่โจทก์จำเลยยังอยู่ร่วมกัน ส่วนที่ดินรายการที่สองและที่สามเป็นของนิคมสร้างตนเองตากฟ้ามอบให้ผู้ครอบครองและทำประโยชน์ทำกินเท่านั้น โจทก์ไม่มีสิทธิเพราะมิได้ครอบครองทำประโยชน์บ้านรายการที่สี่ บิดาจำเลยปลูกให้จำเลยก่อนที่จำเลยจะอยู่กินกับโจทก์ ส่วนทรัพย์รายการที่เหลือจำเลยได้ขายไปหมดแล้วคงเหลือแต่เพียงรถไถแบบเดินตามเพียง 1 คันเท่านั้น โดยจำเลยนำเงินจากการขายทรัพย์ดังกล่าวไปปลูกบ้านให้แก่นางวันเพ็ญบุตรสาวคนโตซึ่งแยกไปมีครอบครัวเป็นเงิน45,000 บาท และรถไถแบบเดินตามอีกคันหนึ่งโจทก์ยกให้บุตรชายคนที่ 2 ใช้ในการทำไร่ และในระหว่างที่โจทก์จำเลยเป็นสามีภรรยากันต่างมีหนี้สินร่วมกันเช่นหนี้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร จำกัด ในต้นเงิน 7,000 บาทหนี้ธนาคารกรุงไทย จำกัด สาขาพยุหะคีรี เป็นเงิน85,000 บาท และเจ้าหนี้ภายนอกอีกรวมเป็นหนี้ทั้งสิ้น160,000 บาท โจทก์จะต้องรับผิดในหนี้ดังกล่าวร่วมกับจำเลยเป็นเงิน 80,000 บาท และขอให้โจทก์ชำระเงินจำนวน 80,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันยื่นคำให้การเป็นต้นไปจนกว่าโจทก์จะชำระเสร็จสิ้น
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า ที่ดินมือเปล่าเนื้อที่15 ไร่ และเนื้อที่ 14 ไร่ เป็นสินสมรส แม้ไม่อาจจะทะเบียนสิทธิและนิติกรรมได้ก็ตามแต่สามารถขายสิทธิครอบครองกันได้เป็นราคาสูง สำหรับบ้านที่อ้างว่าเป็นสินส่วนตัวไม่เป็นความจริงแต่เป็นบ้านที่โจทก์จำเลยร่วมกันปลูกขึ้นในที่ดินของบิดาจำเลยส่วนหนี้สินของธนาคารกรุงไทย จำกัด สาขาพยุหะคีรี หรือธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร จำกัด และเจ้าหนี้ภายนอกเป็นเงิน 160,000 บาท โดยให้โจทก์ร่วมใช้ด้วยครึ่งหนึ่งเป็นเงิน 80,000 บาท และให้โจทก์ชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ7.5 ต่อปี จากต้นเงินดังกล่าวเป็นหนี้สินที่จำเลยก่อให้เกิดขึ้นคงผูกพันเฉพาะสินสมรสฝ่ายจำเลย สำหรับหนี้บุคคลภายนอกน่าจะเป็นหนี้ที่สมคบกันสร้างขึ้น ขอให้ยกฟ้องแย้งจำเลย
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยแบ่งทรัพย์สิน คือ ที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 2032ที่ดินมือเปล่าในเขตนิคมสร้างตนเองตากฟ้า เนื้อที่ 15 ไร่ตั้งอยู่ที่ตำบลหนองโพ อำเภอตาคลี จังหวัดนครสวรรค์ที่ดินมือเปล่าเนื้อที่ 14 ไร่ ในเขตนิคมสร้างตนเองตากฟ้าตั้งอยู่ที่ตำบลหนองโพ อำเภตาคลี จังหวัดนครสวรรค์ ให้แก่โจทก์กึ่งหนึ่ง โดยนำทรัพย์สินดังกล่าวออกประมูลราคากันระหว่างโจทก์จำเลย หากไม่สามารถกระทำได้ก็ให้นำทรัพย์สินดังกล่าวออกขายทอดตลาด เมื่อหักค่าธรรมเนียมแล้วเหลือเงินสุทธิเท่าใดให้แบ่งกันคนละครึ่ง และให้โจทก์ชำระเงินจำนวน 65,367.34 บาทพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 22 มีนาคม2537 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่จำเลย
โจทก์และจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า เฉพาะที่ดินมือเปล่าทรัพย์สินตามฟ้องรายการที่สองและที่สามเนื้อที่ 15 ไร่ ในเขตนิคมสร้างตนเองตากฟ้า ตั้งอยู่ที่ตำบลหนองโพ อำเภอตาคลีจังหวัดนครสวรรค์และที่ดินมือเปล่าเนื้อที่ 14 ไร่ ในเขตนิคมสร้างตนเองตากฟ้า ตั้งอยู่ที่ตำบลหนองโพ อำเภอตาคลีจังหวัดนครสวรรค์ เป็นสินสมรสซึ่งเป็นส่วนของโจทก์กึ่งหนึ่ง และให้โจทก์ชำระเงินแก่จำเลยจำนวน 43,432.46 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 22 มีนาคม 2537จนกว่าจะชำระเสร็จ คำขอให้นำทรัพย์สินออกขายทอดตลาดในกรณีแบ่งไม่ได้ให้ยก นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกาโดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาในศาลอุทธรณ์ภาค 2อนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาตามฎีกาของจำเลยในชั้นนี้ว่าที่ดินมือเปล่า ตั้งอยู่ที่ตำบลหนองโพ อำเภอตาคลี จังหวัดนครสวรรค์ จำนวน 2 แปลงเนื้อที่ 15 ไร่ และ 14 ไร่ ตามฟ้องโจทก์ข้อ 3(2) และ (3) โจทก์มีสิทธิฟ้องขอให้บังคับจำเลยแบ่งกรรมสิทธิ์ให้แก่โจทก์กึ่งหนึ่งในฐานะเป็นสินสมรสหรือไม่ เห็นว่า ที่ดินทั้งสองแปลงดังกล่าวจำเลยนำสืบว่ายังเป็นของนิคมสร้างตนเองตากฟ้า มอบให้ครอบครองทำประโยชน์ยังมิได้เป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลย โจทก์เองก็นำสืบว่าที่ดินทั้งสองแปลงดังกล่าวเป็นของนิคมสร้างตนเองตากฟ้าและอยู่ในระหว่างที่จะได้รับการออก น.ส.3 ให้ แสดงว่าที่ดินทั้งสองแปลงดังกล่าวนิคมสร้างตนเองตากฟ้ายังมิได้มีการออกโฉนดหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้แก่จำเลย ที่ดินพิพาททั้งสองแปลงดังกล่าวจึงอยู่ในระหว่างที่กำลังปฏิบัติตามเงื่อนไขของการจะได้กรรมสิทธิ์แต่ยังปฏิบัติไม่สำเร็จตามเงื่อนไข ที่ดินดังกล่าวจึงเป็นที่ดินที่ตกอยู่ในบังคับแห่งพระราชบัญญัติจัดที่ดินเพื่อการครองชีพ พ.ศ. 2511 ซึ่งตามพระราชบัญญัติจัดที่ดินดังกล่าว มาตรา 12 บัญญัติไว้ว่า “ภายในห้าปีนับแต่วันที่ได้รับโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ในที่ดิน ผู้ได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์ในที่ดินจะโอนที่ดินนั้นไปยังผู้อื่นไม่ได้ นอกจากการตกทอดโดยทางมรดกหรือโอนไปยังสหกรณ์ที่ตนเป็นสมาชิกอยู่แล้วแต่กรณี” และในวรรคสองบัญญัติไว้ว่า “ภายในกำหนดระยะเวลาตามวรรคหนึ่ง ที่ดินนั้นไม่อยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดี”เมื่อที่ดินพิพาททั้งสองแปลงยังไม่ปรากฏหลักฐานว่าจำเลยได้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์และถึงแม้หากจะได้มีหลักฐานกรรมสิทธิ์อยู่ โจทก์ก็มิได้ให้ได้ความอีกว่าจำเลยได้กรรมสิทธิ์เกินกว่าห้าปีแล้วและไม่อยู่ในความรับผิดชอบในการบังคับคดีอย่างไรโจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องบังคับให้จำเลยโอนที่ดินทั้งสองแปลงดังกล่าวแก่โจทก์ครึ่งหนึ่งในฐานะเป็นสินสมรสได้ส่วนสิทธิในการที่จะได้กรรมสิทธิ์ในที่พิพาททั้งสองแปลงของโจทก์ก็เป็นเรื่องที่โจทก์และจำเลยจะไปว่ากล่าวกับนิคมสร้างตนเองตากฟ้าเพื่อให้เป็นไปตามกฎระเบียบข้อบังคับและพระราชบัญญัติจัดที่ดินเพื่อการครองชีพ พ.ศ. 2511 ต่อไป
ปัญหาต่อไปมีว่าบ้านเลขที่ 92/3 หมู่ 9 ตำบลหนองโพอำเภอตาคลี จังหวัดนครสวรรค์ ตามฟ้องของโจทก์ข้อ 3(4)เป็นสินสมรสหรือไม่ โจทก์จำเลยนำสืบตรงกันว่าบ้านหลังดังกล่าวได้ปลูกมา 10 ปีแล้ว และได้มีการรื้อไปปลูกสร้างใหม่หลังจากที่โจทก์ออกจากบ้านไปแล้ว บ้านหลังดังกล่าวในปัจจุบันมีราคา70,000 บาท บ้านที่ปลูกอยู่เดิมปลูกมานานถึง 10 ปี เก่ามากแล้วราคาต้องไม่สูงกว่าราคาปัจจุบันที่นำมาปลูกใหม่ และเหตุที่มีราคาในปัจจุบัน 70,000 บาท เพราะจำเลยได้เสียค่าใช้จ่ายในการปลูกสร้างใหม่ไปเป็นเงิน 40,000 บาท ราคาบ้านหลังเดิมจึงต้องนำราคาบ้านหลังปัจจุบันจำนวน 70,000 บาท หักด้วยราคาค่าใช้จ่ายที่นำมาปลูกขึ้นใหม่จำนวน 40,000 บาท แล้วเป็นราคาค่าบ้านหลังเดิมจำนวน 30,000 บาท เมื่อบ้านเดิมปลูกขณะที่โจทก์จำเลยเป็นสามีภรรยากันจึงเป็นสินสมรสต้องแบ่งกันคนละครึ่งโจทก์จึงมีส่วนได้รับ 15,000 บาท
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยจ่ายเงินสินสมรสค่าบ้านเลขที่92/3 หมู่ 9 ตำบลหนองโพ อำเภอตาคลี จังหวัดนครสวรรค์แก่โจทก์ครึ่งหนึ่งจำนวน 15,000 บาท ให้ยกฟ้องในส่วนที่โจทก์ขอให้บังคับให้จำเลยโอนที่ดินเนื้อที่ 15 ไร่ และ 14 ไร่ครึ่งหนึ่งในฐานะเป็นสินสมรสตามฟ้องข้อ 3(2) และ (3) โดยไม่ตัดสิทธิโจทก์ที่จะฟ้องใหม่ภายในอายุความ

Share