คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7024/2544

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

การที่จำเลยวางเงินต่อศาลเพื่อให้ผู้เสียหายมารับไป ก็เพื่อเป็นการบรรเทาผลร้ายจากการกระทำผิดของจำเลย และจำเลยยังประสงค์ให้ศาลใช้เป็นดุลพินิจในการลงโทษจำเลยสถานเบาด้วยซึ่งศาลชั้นต้นก็ได้นำเรื่องดังกล่าวมาเป็นเหตุบรรเทาโทษให้จำเลยแล้วทั้งการวางเงินเพื่อให้ผู้เสียหายมารับนั้นย่อมแสดงอยู่ในตัวแล้วว่าจำเลยจะไม่ถอนเงินออกไปหากผู้เสียหายยังประสงค์จะรับเงินนั้นการที่ผู้เสียหายไม่ยอมรับเงินในครั้งแรกก็เนื่องด้วยเห็นว่าเป็นจำนวนน้อยเกินไปมิใช่ไม่ประสงค์จะเรียกค่าเสียหายหรือไม่ประสงค์จะรับเงินที่จำเลยนำมาวางศาลและเมื่อศาลได้สอบถามแล้วผู้เสียหายประสงค์จะรับเงินจำนวนดังกล่าว จำเลยจึงไม่อาจถอนเงินจำนวนดังกล่าวได้
แม้คดีนี้จะเป็นคดีอาญาและโจทก์มิได้บรรยายฟ้องหรือมีคำขอเกี่ยวกับเงินค่าเสียหาย แต่จำเลยเป็นผู้ขอวางเงินชดใช้ค่าเสียหายโดยประสงค์จะให้ศาลใช้เป็นดุลพินิจในการวางโทษจำเลยสถานเบาการวางเงินเพื่อชดใช้ค่าเสียหายจึงเป็นเรื่องที่เกี่ยวพันโดยตรงกับคดีศาลย่อมมีอำนาจที่จะสั่งเกี่ยวกับเงินจำนวนดังกล่าวได้ไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องจำเลยขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291, 300, 91 พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 4, 43, 157 พระราชบัญญัติรถยนต์พ.ศ. 2522 มาตรา 6, 17, 60, 65 พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ พ.ศ. 2535 มาตรา 4, 7, 11, 39 จำเลยให้การรับสารภาพศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยกระทำความผิดตามฟ้อง ลงโทษฐานขับรถเมื่อใบอนุญาตขับรถสิ้นอายุ ปรับ 1,000 บาท ฐานใช้รถที่ยังมิได้เสียภาษีประจำปี ปรับ 1,000 บาท ฐานไม้แจ้งการโอนรถ ปรับ 1,000 บาทฐานใช้รถที่มิได้จัดให้มีการประกันความเสียหาย ปรับ 5,000 บาท และฐานขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายและได้รับอันตรายสาหัส ให้ลงโทษฐานขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายอันเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุด จำคุก 2 ปี รวมจำคุก 2 ปี ปรับ 8,000 บาทจำเลยให้การรับสารภาพ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 1 ปี ปรับ 4,000 บาทพิเคราะห์พฤติการณ์แห่งคดีและรายงานการสืบเสาะและพินิจแล้ว เห็นว่าจำเลยขับรถขณะเมาสุราและด้วยความเร็วสูง อันเป็นความประมาทร้ายแรงแม้จำเลยจะบรรเทาผลร้ายโดยนำเงินมาวางศาลเพื่อให้ผู้เสียหายรับไปก็ไม่มีเหตุผลที่จะรอการลงโทษให้ แต่ศาลได้นำมาประกอบดุลพินิจในการกำหนดโทษแล้ว

ต่อมาภายหลังคำพิพากษาศาลชั้นต้นถึงที่สุดจำเลยยื่นคำร้องว่าจำเลยได้นำเงินค่าเสียหายจำนวน 160,000 บาท มาวางศาลเพื่อให้ผู้เสียหายในคดีนี้มาขอรับไป แต่ผู้เสียหายปฏิเสธไม่ยอมรับเงินจำเลยจึงขอรับเงินดังกล่าวคืน

ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้หมายนัดผู้เสียหายมาสอบถามก่อนโดยไม่คืนเงินค่าเสียหาย 160,000 บาท แก่จำเลย

จำเลยอุทธรณ์คำสั่ง

ก่อนส่งสำนวนมาศาลอุทธรณ์ ในวันที่ศาลชั้นต้นนัดสอบถาม ผู้เสียหายแถลงประสงค์จะรับเงินจำนวนดังกล่าว และต่อมาได้ยื่นคำแถลงขอรับเงินแล้ว

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า มีเหตุที่จะสั่งคืนเงินจำนวน 160,000 บาท ที่จำเลยวางไว้ต่อศาลชั้นต้นก่อนมีคำพิพากษาให้จำเลยหรือไม่ คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยในความผิดฐานกระทำโดยประมาท เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายและได้รับอันตรายสาหัส ฯลฯ จำเลยให้การรับสารภาพและแถลงยินยอมชดใช้ค่าเสียหายให้แก่ผู้เสียหายเป็นเงิน 160,000 บาท โดยได้นำเงินจำนวนดังกล่าวมาวางต่อศาลชั้นต้นเพื่อให้ผู้เสียหายมารับไปตามคำร้องของจำเลยลงวันที่ 7 กรกฎาคม 2542 เห็นว่า การวางเงินดังกล่าวของจำเลยต่อศาลชั้นต้นเพื่อบรรเทาผลร้ายจากการกระทำความผิดของจำเลยและจำเลยยังประสงค์ให้ศาลใช้เป็นดุลพินิจในการลงโทษจำเลยสถานเบาด้วย ซึ่งศาลชั้นต้นก็ได้นำเรื่องดังกล่าวมาเป็นเหตุบรรเทาโทษให้จำเลยแล้ว ทั้งการวางเงินเพื่อให้ผู้เสียหายมารับไปย่อมแสดงอยู่ในตัวแล้วว่าจำเลยจะไม่ถอนเงินดังกล่าวกลับไป หากผู้เสียหายยังประสงค์จะรับเงินนั้น การที่ครั้งแรกผู้เสียหายยังไม่ยอมรับเงินที่จำเลยนำมาวางในคดีนี้ก็เนื่องจากเห็นว่าเป็นจำนวนที่น้อยเกินไป มิใช่ผู้เสียหายไม่ประสงค์จะเรียกค่าเสียหายหรือไม่ประสงค์รับเงินที่จำเลยนำมาวางศาลเสียทีเดียว ศาลชั้นต้นจึงมีอำนาจเรียกผู้เสียหายไปสอบถามเมื่อจำเลยไปขอรับเงินคืนภายหลังศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาแล้วว่า ผู้เสียหายประสงค์จะรับเงินจำนวนดังกล่าวหรือไม่ ทั้งเมื่อศาลชั้นต้นเรียกผู้เสียหายไปสอบถาม ผู้เสียหายแก้แถลงว่าประสงค์จะรับเงินจำนวนดังกล่าว จำเลยจึงไม่อาจถอนเงินจำนวนดังกล่าวได้ ที่ศาลล่างทั้งสองไม่อนุญาตให้จำเลยถอนเงินจำนวนดังกล่าวคืนไป ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้น

ส่วนที่จำเลยฎีกาว่า คดีนี้เป็นคดีอาญาตามคำฟ้องและคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ไม่ปรากฏเรื่องเงินจำนวน 160,000 บาท ศาลชั้นต้นจึงไม่มีอำนาจสั่งในเรื่องนี้นั้น เห็นว่า แม้คดีนี้เป็นคดีอาญาและโจทก์มิได้บรรยายฟ้องหรือมีคำขอเกี่ยวกับเงินค่าเสียหายจำนวน 160,000 บาท ก็ตาม แต่จำเลยเป็นผู้ขอวางเงินชดใช้ค่าเสียหายต่อศาลชั้นต้นโดยประสงค์ให้ศาลใช้เป็นดุลพินิจในการวางโทษจำเลยสถานเบา การวางเงินเพื่อชดใช้ค่าเสียหายต่อศาล จึงเป็นเรื่องที่เกี่ยวพันโดยตรงกับคดี ศาลชั้นต้นย่อมมีอำนาจที่จะสั่งเกี่ยวกับเงินจำนวนดังกล่าวได้ ไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193 ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน”

พิพากษายืน

Share