คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 702/2495

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เอาความเท็จไปพูดหลอกลวงเขาว่า เจ้าหนี้ของตนเร่งรัดหนี้สินจึงขอเอาเงินจากเขาไปชำระแก่เจ้าหนี้เพื่อรับเอาโฉนดที่ดินคืนมาแล้วจะมาทำจำนองไว้แก่เขา เขาหลงเชื่อมอบเงินให้ไป ชำระหนี้สินจนได้รับโฉนดคืนมามอบไว้แก่เขาแล้ว แต่ไม่ยอมไปทำสัญญาจำนองให้เขาตามที่พูดไว้ ดังนี้ เป็นเรื่องกรณีละเมิด ต้องใช้สินไหมทดแทนให้แก่เขาตาม ป.ม.แพ่งฯมาตรา 420

ย่อยาว

คดีได้ความว่า จำเลยกู้เงินนายทองห่อไป ๒ ครั้งเป็นเงิน ๒๕๐๐ บาท จำเลยมอบโฉนดที่ ๑๑๗ ของจำเลยให้นายทองห่อยึดไว้ ต่อมาจำเลยไปหาโจทก์บอกว่านายทองห่อเร่งรัดให้เอาเงินไปใช้ จำเลยจึงขอรับเงิน ๒๕๐๐ บาทไป เพื่อชำระแก่นายทองห่อ แล้วจะนำโฉนดไปทำจำนองให้แก่โจทก์ยังหอทะเบียนที่ดิน ซึ่งความจริงนายทองห่อได้เร่งรัดหนี้นี้ไม่ โจทก์หลงเชื่อจึงมอบเงิน ๒๕๐๐ บาทให้จำเลยไปชำระหนี้แก่นายทองห่อ และรับโฉนดกลับมาให้โจทก์ยึดไว้ ว่ารุ่งขึ้นจะไปทำสัญญาจำนองให้ แต่แล้วจำเลยก็ไม่ไป โจทก์จึงมาฟ้องหาว่าจำเลยฉ้อโกง ขอให้ลงโทษ และขอให้จำเลยใช้เงิน ๒๕๐๐ บาทด้วย
ศาลชั้นต้นเห็นว่ายังไม่เป็นผิดฐานฉ้อโกง แต่เป็นเรื่องลาภมิควรได้ จึงพิพากษาให้จำเลยคืนเงิน ๒๕๐๐ บาทแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ที่ศาลล่างชี้ขาดว่าเป็นกรณีเรื่องลาภมิควรได้นั้น ไมเห็นฟ้องด้วย เพราะได้ความว่านายทองห่อได้เร่งรัดหนี้สินไม่ จำเลยเอาความเท็จข้อนี้ขึ้นมากล่าวหลอกลวงเอาเงินไปโจทก์ไปเป็นกรณีละเมิด ต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนตาม ป.ม.แพ่งฯมาตรา ๔๒๐ ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น
จึงพิพากษายืน

Share