คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1209/2498

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยลงพิมพ์ลายนิ้วมือในสัญญาขายที่ดินที่โจทก์จัดทำให้จำเลยโดยจำเลยเข้าใจผิดว่าเป็นสัญญาจ้างว่าความ สัญญานั้นเป็นโมฆะ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2495 จำเลยนี้ได้ทำหนังสือสัญญาขายกรรมสิทธิ์ที่นาของจำเลย 2 แปลง ตามโฉนดเลขที่ 2792, 2769 อยู่ที่ตำบลหนองยาว อำเภอเมืองสระบุรี จังหวัดสระบุรีเฉพาะส่วนของจำเลยมีเนื้อที่ 30 ไร่เศษ ให้แก่โจทก์ตกลงราคากัน15,000 บาท กับส่วนที่ดินที่จำเลยกำลังประกาศขอรับมรดกนางแก้วภรรยาของจำเลยที่ได้ตายไปแล้ว ได้ที่ดินมากน้อยเท่าใดจำเลยตกลงขายให้โจทก์อีก เป็นเงิน 1,000 บาท รวมเป็นเงิน 16,000 บาท โดยจำเลยสัญญาว่า เมื่อจำเลยประกาศรับมรดกของนางแก้วเสร็จแล้วจำเลยจะจัดการโอนกรรมสิทธิ์ให้แก่โจทก์โจทก์ได้วางมัดจำไว้แล้วเป็นเงิน 14,000 บาท ยังคงค้างอีก2,000 บาท ซึ่งจำเลยตกลงว่าเมื่อโอน แก้ทะเบียนเสร็จแล้วจำเลยจึงจะขอรับเงิน 2,000 บาท นี้ดังปรากฏตามสำเนาหนังสือสัญญาท้ายฟ้อง บัดนี้จำเลยและทายาทของนางแก้วได้ตกลงแบ่งมรดกกันเสร็จแล้ว จำเลยก็ยังมิได้จัดการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้กับโจทก์ตามสัญญา โจทก์ได้เตือนให้จัดการโอนตามสัญญาหลายครั้งหลายหนจำเลยก็เพิกเฉยเสียจึงขอให้ศาลบังคับให้จำเลยโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินเฉพาะส่วนของจำเลยตามโฉนดเลขที่ 2792, 2769 พร้อมทั้งส่วนที่จำเลยรับมรดกจากนางแก้วภรรยาจำเลยให้แก่โจทก์ตามสัญญา แล้วให้จำเลยรับเงินที่ค้างอยู่กับโจทก์อีก 2,000 บาท ไปด้วย ถ้าจำเลยไม่สามารถจัดการโอนได้ก็ขอให้บังคับจำเลยคืนเงิน 14,000 บาท ให้โจทก์ กับให้จำเลยใช้ดอกเบี้ยแต่วันฟ้องจนกว่าจะใช้เงินเสร็จในอัตราร้อยละ 7 ครึ่งต่อปีและให้ใช้ค่าธรรมเนียม ค่าทนายแทนโจทก์ด้วย

จำเลยให้การปฏิเสธฟ้องของโจทก์ว่า จำเลยไม่เคยทำสัญญาขายที่ดินโฉนดที่ 2792, 2769 ตามฟ้อง และไม่เคยสัญญาว่า เมื่อจำเลยรับมรดกนางแก้วภรรยาจำเลยแล้วจะจัดการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้แก่โจทก์ โจทก์ไม่เคยวางเงินมัดจำให้แก่จำเลยและไม่เคยเตือนหรือแจ้งให้จำเลยจัดการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่2792, 2769 ความจริงคือ เมื่อประมาณเดือนกรกฎาคม 2495 โจทก์บังอาจสมรู้กับพรรคพวกหลอกลวงจำเลย ซึ่งเป็นคนแก่มีอายุ 76 ปี และอ่านหนังสือไม่ออก ให้พิมพ์ลายนิ้วมือในสัญญาขายกรรมสิทธิ์ที่ดินฉบับลงวันที่ 10 พฤษภาคม 2495 ดังปรากฏตามสำเนาท้ายฟ้อง โดยโจทก์มิได้อ่านสัญญาฉบับนี้ให้จำเลยฟัง ซึ่งจำเลยเข้าใจว่าเป็นสัญญาจ้างว่าความโดยโจทก์ซึ่งเป็นบุตรเขยของจำเลยได้พาจำเลยไปหานายเลี่ยม วงษ์เสนา ทนายความจังหวัดสระบุรีเพื่อให้เป็นทนายของจำเลยฟ้อง นายตัน ฉิมพาลี ดังปรากฏตามสำนวนคดีแพ่งดำที่ 177/2495 เลขคดีแดงที่ 222/2495 ของศาลจังหวัดสระบุรี โจทก์ได้สมรู้กับพรรคพวกหลอกลวงจำเลยว่า เป็นสัญญาจ้างว่าความ จำเลยเป็นคนแก่อ่านหนังสือไม่ออก เข้าใจว่าเป็นสัญญาจ้างว่าความจึงได้พิมพ์ลายนิ้วมือลงในสัญญาซื้อขายกรรมสิทธิ์ที่ดินดังสำเนาท้ายฟ้องนั้นสัญญาฉบับนี้จึงเป็นโมฆะ ไม่มีผลใช้บังคับได้ตามกฎหมาย ขอให้พิพากษายกฟ้องโจทก์และให้โจทก์เสียค่าธรรมเนียมและค่าทนายแทนจำเลย

ก่อนสืบพยาน โจทก์ส่งต้นฉบับสัญญาซื้อขายที่ดินที่นำมาฟ้องต่อศาล จำเลยดูสัญญานั้นแล้ว รับว่าลายพิมพ์นิ้วมือในสัญญานั้นเป็นลายพิมพ์นิ้วมือของจำเลยจริง ศาลจึงได้ให้จำเลยเป็นฝ่ายนำสืบก่อน ศาลจังหวัดสระบุรีได้ทำการสืบพยานจำเลยและพยานโจทก์แล้ววินิจฉัยว่า พยานโจทก์ขัดต่อเหตุผลและให้การแตกต่างกันในข้อสำคัญหลายตอนไม่น่าเชื่อว่าจำเลยได้ตกลงขายนาให้โจทก์แม้โจทก์จะมีสัญญาซื้อขายมาแสดงว่าจำเลยลงลายพิมพ์นิ้วมือในสัญญานั้นก็ฟังไม่ได้ว่า จำเลยได้ตกลงขายนาให้ จึงพิพากษายกฟ้องให้โจทก์เสียค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนาย 500 บาท แทนจำเลยด้วย

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน และให้โจทก์เสียค่าทนายในชั้นอุทธรณ์นี้แทนจำเลย เป็นเงิน 350 บาท ด้วย

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาได้ตรวจสำนวนฟังคำแถลงการณ์และประชุมปรึกษาคดีแล้ว ข้อที่โจทก์ฎีกาขอให้โจทก์ชนะคดีตามฎีกาของโจทก์นั้นศาลฎีกาได้พิเคราะห์พยานโจทก์จำเลยทั้งสองฝ่ายแล้วเห็นว่าคดีนี้พยานโจทก์เบิกความแตกต่างกันเช่น

1. ตัวโจทก์เบิกความว่า โจทก์ได้พาจำเลยไปบ้านนายเลี่ยมเพื่อจ้างนายเลี่ยมว่าความ ก่อนที่นายเลี่ยมจะเขียนสัญญาซื้อขายรายนี้เดือนเศษ แต่นายเลี่ยมพยานโจทก์เบิกความว่า จำเลยได้มาจ้างพยานให้ว่าความภายหลังที่พยานได้เขียนสัญญาจะซื้อขายระหว่างโจทก์จำเลยแล้วสักเดือนเศษ

2. เรื่องค่าจ้างว่าความ ตัวโจทก์เบิกความว่า ได้ทำสัญญาจ้างว่าความกันเป็นลายลักษณ์อักษร ตกลงค่าจ้างกัน 3,000 บาท ส่วนนายเลี่ยมกลับเบิกความว่า การจ้างว่าความไม่ได้ทำหนังสือสัญญาจ้างว่าความกัน เป็นแต่พูดตกลงกันด้วยปาก ไม่คิดค่าจ้างว่าความด้วยเป็นคนชอบพอกัน

ศาลฎีกาเห็นว่า เมื่อพยานโจทก์เบิกความแตกต่างและขัดกันในข้อสำคัญแห่งคดีดังกล่าวแล้ว ประกอบด้วยจำเลยเป็นคนมีอายุถึง 76 ปีแล้ว และอ่านหนังสือก็ไม่ออก ทั้งตัวโจทก์ก็เป็นคนชอบพอกับนายเลี่ยมพยานโจทก์และเป็นบุตรเขยจำเลย จำเลยย่อมไว้วางใจโจทก์ได้เป็นอย่างดี จำเลยเป็นคนมีหลักฐานมีนา 26 ไร่ ให้พวกลูก ๆ เช่าทำและตัวจำเลยก็อยู่กับนางนวลจันทร์บุตรสาวซึ่งเป็นผู้ดูแลเก็บผลประโยชน์ให้จำเลยใช้สอย โดยจำเลยไม่มีภาระที่จะต้องเลี้ยงดูบุคคลอื่นใดอีก นอกจากนั้นโจทก์ก็รับรองว่าจำเลยเป็นคนดีไม่คดโกงใครไม่เคยมีชื่อเสีย ในเรื่องการเงินเลยไม่ใช่เป็นคนเล่นการพนัน เป็นคนเข้าวัดเข้าวา ถือศีลในบางโอกาสฉะนั้นศาลฎีกาเชื่อว่า จำเลยพิมพ์ลายนิ้วมือลงในสัญญาที่โจทก์นำมาฟ้อง โดยเข้าใจว่าเป็นสัญญาจ้างนายเลี่ยมทนายความให้ว่าความคดีของจำเลย โดยไม่ได้มีเจตนาที่จะขายที่ดินของจำเลยให้แก่โจทก์ดังโจทก์ฟ้อง สัญญาฉบับนั้นจึงเป็นโมฆะไม่มีผลใช้บังคับได้ตามกฎหมาย ที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์เสียนั้นชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น

จึงพิพากษายืน ให้ยกฎีกาโจทก์ ให้โจทก์เสียค่าทนายความชั้นฎีกา350 บาท แทนจำเลยด้วย

Share