แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยผิดกฎหมายหลายบทให้ลงโทษจำเลยตามบทหนัก จำเลยฝ่ายเดียวอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ว่าจำเลยผิดหลายกระทงให้ลงโทษตามกระทงที่หนักที่สุด ส่วนกำหนดโทษให้คงเดิมดังนี้ เป็นเรื่องศาลอุทธรณ์เห็นว่าศาลชั้นต้นปรับบทลงโทษจำเลยมาไม่ถูกต้อง ศาลอุทธรณ์ย่อมมีอำนาจที่จะพิพากษาแก้เสียให้ถูกต้องโดยไม่เพิ่มเติมกำหนดโทษจำเลยให้สูงขึ้นอีกได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองฐานควบคุมเรือยนต์และเรือกลไม่รับอนุญาต ไม่จุดโคมไฟและประมาทเป็นเหตุให้คนตาย ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ำสยาม พ.ศ.๒๔๕๖ มาตรา ๑๐๔,๑๐๕,๑๑๐,๒๘๒ พระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ำไทย พ.ศ.๒๔๗๗ มาตรา ๓ และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๔๑
จำเลยทั้งสองให้การต่อสู้คดี
ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยทั้งสองเป็นผู้ควบคุมขับเรือยนต์หางยาวและเรือกลโดยไม่มีประกาศนียบัตรและละเลยไม่ติดโคมไพในเวลาเดินเรือกลางคืน ขับเรือด้วยความเร็วสูงในขณะฝนตกเดือนมืด จนเรือทั้ง ๒ แล่นเข้าหากันในระยะกระชั้นชิดแล้ว จึงต่างแลเห็นเรืออีกฝ่ายหนึ่งซึ่งไม่ทันป้องกันมิให้เรือชนกันได้ เป็นเหตุให้เรือจำเลยที่ ๒ ชนเรือจำเลยที่ ๑ และผู้โดยสารจมน้ำถึงแก่ความตาย ๓ คน โดยจำเลยมีความประมาทเท่า ๆกัน พิพากษาว่าจำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ำสยามพ.ศ.๒๔๕๖ มาตรา ๑๐๔,๑๐๕,๑๑๐,๒๘๒ และประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๒๔๑ ให้ลงโทษจำคุกจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๒๔๑ ซึ่งเป็นบทหนัก มีกำหนดคนละ ๔ ปี คำให้การรับสารภาพของจำเลยในชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๗๘ คนละหนึ่งในสี่ คงจำคุกจำเลยทั้งองไว้ คนละ ๓ ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงมาชอบแล้ว แต่ศาลชั้นต้นปรับบทลงโทษจำเลยตามบทหนักนั้น ไม่เห็นด้วย พิพากษาแก้ว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดควบคุมขับเรือยนต์โดยมิได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานตามพระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ำสยามพ.ศ.๒๔๕๖ มาตรา ๑๐๔,๑๑๐ กระทงหนึ่ง ผิดฐานไม่จุดโคมไพสัญญานเรือในกลางคืนตามพระราชบัญญัติดังกล่าวแล้วมาตรา ๒๘๒ พระราชบัญญัติเดินเรือในน่านน้ำไทยพ.ศ.๒๔๗๗ มาตรา ๓ กระทงหนึ่ง ผิดฐานกระทำประมาทให้คนตายตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๒๙๑ อีกกระทงหนึ่ง แต่ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๒๙๑ ซึ่งเป็นกระทงหนักที่สุดตามมาตรา ๙๑ ส่วนกำหนดโทษให้คงเดิม
จำเลยที่ ๑ ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งรับเฉพาะปัญหาข้อกฎหมายที่ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้นว่าจำเลยกระทำความผิดหลายบทหลายกระทง ต่างกรรมต่างวาระกันนั้น ไม่ถูกต้อง การกระทำผิดของจำเลยควรเป็นความผิดกฎหมายหลายบทเท่านั้น
ศาลฎีกาเห็นว่า ฟ้องของโจทก์ได้ระบุกล่าวแยกการกระทำของจำเลยมาเป็นกิจจะลักษณะแต่ละกรรมและข้อเท็จจริงก็ฟังได้เช่นนั้น การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดหลายกระทงตามที่ศาลอุทธรณ์ชี้ขาดมานั้นถูกต้องแล้ว คงมีปัญหาว่าเมื่อโจทก์มิได้อุทธรณ์ในข้อนี้ ศาลอุทธรณ์จะมีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้หรือไม่ ตามความในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา ๒๑๒ นั้น ย่อมเห็นได้ว่ากฎหมายห้ามเพียงมิให้พิพากษาเพิ่มเติมกำหนดโทษจำเลยขึ้นอีกเท่านั้น ดังนั้น เมื่อศาลอุทธรณ์เห็นว่า ศาลชั้นต้นปรับบทลงโทษจำเลยมาไม่ถูกต้องก็ชอบที่จะพิพากษาแก้เสียให้ถูกต้อง โดยไม่เพิ่มเติมกำหนดโทษจำเลยให้สูงขึ้นอีกได้
แต่ข้อที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดฐานควบคุมขับเรือยนต์โดยมิได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานตามพระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ำสยาม พ.ศ.๒๔๕๖ มาตรา ๑๐๔,๑๑๐ กระทงหนึ่ง ผิดฐานไม่จุดโคมไฟสัญญานเรือในเวลากลางคืนตามพระราชบัญญัติดังกล่าวแล้ว มาตรา ๒๘๒ และพระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ำไทย พ.ศ.๒๔๗๗ มาตรา ๓ กระทงหนึ่งนั้น ปรากฎว่า การปรับบทมาตราลงโทษจำเลยไขว้กัน
พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์เป็นว่า จำเลยมีความผิดฐานควบคุมเรือยนต์โดยมิได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานตามพระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ำไทย พ.ศ.๒๔๕๖ มาตรา ๒๔๒ ซึ่งได้แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ำไทย พ.ศ.๒๔๗๗ มาตรา ๓ กระทงหนึ่ง ผิดฐานไม่จุดโคมไฟสัญญานเรือในเวลากลางคืนตามพระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ำไทย พ.ศ.๒๔๕๖ มาตรา ๑๐๔,๑๑๐ กระทงหนึ่ง นอกจากที่แก้นี้แล้ว คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์