คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 437/2507

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 213 เมื่อศาลได้พิพากษาให้จำเลยไปจดทะเบียนการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทให้เป็นทางสาธารณะ หากไม่ปฏิบัติตามก็ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา จึงเป็นหน้าที่ของจำเลยที่จะต้องปฏิบัติการให้เป็นไปตามคำพิพากษาถ้าจำเลยได้เอาที่พิพาทนั้นไปจำนองเป็นประกันหนี้แก่บุคคลที่สามไว้ก่อนศาลมีคำพิพากษาก็เป็นหน้าที่ของจำเลยที่จะต้องจัดการให้สภาพแห่งหนี้เปิดช่องให้บังคับชำระหนี้ได้ ถ้าหากจำเลยไม่ปรารถนาจัดการหรือไม่สามารถจัดการให้กรรมสิทธิ์ในที่พิพาทกลับคืนมาสู่จำเลยโดยสมบูรณ์เพื่อทำนิติกรรมเป็นการชำระหนี้ตามคำพิพากษาในกรณีเช่นนี้ ศาลไม่มีอำนาจที่จะบังคับให้บุคคลที่สามกระทำการอันนั้นโดยให้จำเลยเสียค่าใช้จ่ายให้ เพราะกรรมสิทธิ์ในที่พิพาทได้ตกเป็นประกันหนี้โดยการจำนองโดยชอบแก่บุคคลที่สามแล้วบุคคลที่สามจะต้องเสียหายโดยไม่ได้เข้ามาเป็นคู่ความด้วยแต่อย่างใดเมื่อเป็นดังนี้ จึงต้องปฏิบัติตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 215 ซึ่งได้บัญญัติว่า’เมื่อลูกหนี้ไม่ชำระหนี้ให้ต้องตามความประสงค์อันแท้จริงแห่งมูลหนี้ไซร้ เจ้าหนี้จะเรียกเอาค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายอันเกิดแก่การนั้นก็ได้’ความเสียหายอันเกิดจากการที่ไม่มีทางออกถึงทางสาธารณะได้นี้ เป็นความเสียหายโดยตรงอันเกิดจากการไม่ชำระหนี้ เมื่อโจทก์นำสืบได้ว่าโจทก์จำต้องไปซื้อที่ดินของบุคคลอื่นเพื่อทำเป็นทางเดินออกถึงทางสาธารณะก็เป็นการสืบแสดงถึงความเสียหายโดยตรงอันเกิดจากการไม่ชำระหนี้ของจำเลยให้ต้องตามความประสงค์แห่งมูลหนี้นั้นที่เรียกว่าความเสียหายนั้นไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องที่โจทก์จะต้องจ่ายเงินไปแล้วโดยจริงจังแต่อย่างใดการเรียกเอาค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายนั้นอาจคำนวณเอาได้ แม้ยังไม่ได้จ่ายเงินไป เมื่อโจทก์นำสืบให้เห็นจำนวนเงินอันอาจคำนวณเป็นค่าสินไหมทดแทนได้แล้ว ศาลก็สั่งบังคับให้จำเลยชำระค่าสินไหมทดแทนไปได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้ขายที่ดินให้แก่โจทก์ และได้ทำสัญญาว่าจะไปจดทะเบียนยกที่ดินของจำเลยให้เป็นทางสาธารณะ แต่จำเลยไม่ไปจดทะเบียนตามสัญญา ทำให้โจทก์ไม่มีทางออกไปสู่ทางสาธารณะ ซึ่งโจทก์ต้องซื้อที่ดินของผู้อื่นทำเป็นทางเดินคือเป็นเงิน 102,400 บาทขอให้ศาลบังคับให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญา ถ้าไม่ปฏิบัติตาม ก็ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนเจตนาของจำเลย ถ้าจำเลยไม่สามารถจดทะเบียนได้ก็ให้ใช้ค่าเสียหายเป็นเงิน 102,400 บาท แก่โจทก์

จำเลยให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญา ถ้าไม่ปฏิบัติตามก็ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ตามฟ้อง

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์เห็นว่า ในเรื่องความเสียหายนั้น โจทก์ยังไม่ได้ซื้อที่ดินบุคคลอื่นทำเป็นทาง การที่โจทก์เรียกค่าเสียหายในขณะนี้จึงเป็นคำขอที่ไกลกว่าเหตุ พิพากษาแก้เป็นว่าถ้าจำเลยไม่ปฏิบัติตามสัญญา ก็ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย ให้ยกคำขอเรื่องค่าเสียหาย

โจทก์ฝ่ายเดียวฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 213บัญญัติไว้ว่า “ถ้าลูกหนี้ละเลยเสียไม่ชำระหนี้ของตน เจ้าหนี้จะร้องขอต่อศาลให้สั่งบังคับชำระหนี้ก็ได้ เว้นแต่สภาพแห่งหนี้จะไม่เปิดช่องให้ทำเช่นนั้นได้

เมื่อสภาพแห่งหนี้ไม่เปิดช่องให้ชำระหนี้ได้ ถ้าวัตถุแห่งหนี้เป็นอันให้กระทำการอันหนึ่งอันใด เจ้าหนี้จะร้องขอต่อศาลให้สั่งบังคับให้บุคคลภายนอกกระทำการอันนั้นโดยให้ลูกหนี้เสียค่าใช้จ่ายให้ก็ได้ แต่ถ้าวัตถุแห่งหนี้เป็นอันให้กระทำนิติกรรมอย่างใดอย่างหนึ่งไซร้ศาลจะสั่งให้ถือเอาตามคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของลูกหนี้ก็ได้ ฯลฯ

คดีนี้ จำเลยได้ละเลยเสียไม่ชำระหนี้ของตนในอันที่จะจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินส่วนหนึ่งตามโฉนดให้เป็นทางสาธารณะตามที่สัญญาไว้ ทั้งศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ก็ได้สั่งบังคับไว้แล้วให้จำเลยกระทำการอันนั้น โดยให้ทำนิติกรรมเช่นนั้น และศาลอุทธรณ์ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของลูกหนี้ได้ จึงเป็นหน้าที่ของจำเลยที่จะต้องปฏิบัติการตามนั้นและจะต้องขวนขวายให้ตนมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินนั้นโดยสมบูรณ์เพื่อทำนิติกรรมเช่นนั้นหรือเพื่อให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของตนได้ พฤติการณ์ปรากฏว่า ก่อนที่ศาลได้มีคำพิพากษาจำเลยได้เอาที่ดินสองแปลงนั้นไปจำนองเป็นประกันหนี้แก่บุคคลที่สามไว้ ซึ่งถ้าการจำนองนั้นยังมีอยู่ จำเลยก็ปราศจากสิทธิที่จะทำนิติกรรมเป็นการชำระหนี้ของโจทก์ได้ และทั้งไม่อาจถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยได้ถ้าผู้รับจำนองมิได้ยินยอม จึงเป็นหน้าที่ของจำเลยจะต้องจัดการให้สภาพแห่งหนี้เปิดช่องให้บังคับชำระหนี้ได้ ถ้าจำเลยไม่ปรารถนาจัดการหรือไม่สามารถจัดการให้กรรมสิทธิ์ในที่ดินทั้งสองแปลงนั้นกลับคืนมาสู่จำเลยโดยสมบูรณ์เพื่อทำนิติกรรมเป็นการชำระหนี้ตามคำพิพากษา ก็ได้ชื่อว่าจำเลยไม่ชำระหนี้ให้ต้องตามความประสงค์อันแท้จริงของมูลหนี้ และในกรณีเช่นนี้ ศาลฎีกาเห็นว่าศาลไม่มีอำนาจที่จะบังคับให้บุคคลภายนอกกระทำการอันนั้นโดยให้จำเลยเสียค่าใช้จ่ายให้ เพราะกรรมสิทธิ์ในที่ดินทั้งสองแปลงนั้นได้ตกไปเป็นประกันหนี้โดยการจำนองโดยชอบแก่บุคคลที่สามแล้ว บุคคลที่สามจะต้องเสียหายโดยไม่ได้เข้ามาเป็นฝ่ายในคดีด้วยอย่างใดเลย

เมื่อเป็นดังนี้ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 215 จึงได้บัญญัติว่า “เมื่อลูกหนี้ไม่ชำระหนี้ให้ต้องตามความประสงค์อันแท้จริงแห่งมูลหนี้ไซร้ เจ้าหนี้จะเรียกเอาค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายอันเกิดแต่การนั้นก็ได้”

ความเสียหายอันเกิดจากการที่ไม่มีทางออกถึงทางสาธารณะได้นี้เป็นความเสียหายโดยตรงอันเกิดจากการไม่ชำระหนี้รายนี้ โจทก์นำสืบได้ว่าโจทก์จำต้องไปซื้อที่ดินของบุคคลอื่นเพื่อทำเป็นทางเดินออกถึงทางสาธารณะ ศาลฎีกาเห็นว่า เป็นการสืบแสดงได้ถึงการเสียหายโดยตรงอันเกิดจากการไม่ชำระหนี้ของจำเลยให้ต้องตามความประสงค์อันแท้จริงแห่งมูลหนี้นั้นแล้วที่ศาลอุทธรณ์เห็นว่า โจทก์ยังไม่ได้ซื้อที่ดิน ความเสียหายยังไกลต่อเหตุนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วยเพราะที่เรียกว่าความเสียหายนั้น ไม่จำต้องเป็นเรื่องที่โจทก์จะต้องจ่ายเงินไปแล้วโดยจริงจังแต่อย่างใด การเรียกเอาค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายนั้น อาจคำนวณเอาได้ แม้ยังไม่ได้จ่ายเงินไปความเสียหายได้เกิดขึ้นเพราะการไม่ชำระหนี้ให้ต้องตามความประสงค์อันแท้จริงแห่งมูลหนี้ได้เกิดขึ้นแล้ว และโจทก์ก็ได้นำสืบให้เห็นจำนวนเงินอันอาจคำนวณเป็นค่าสินไหมทดแทนได้แล้วศาลฎีกาเห็นว่าสมควรสั่งบังคับเอาแก่จำเลยไปในคดีนี้ได้ ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่ายังไม่ควรสั่งบังคับ ถ้าโจทก์ต้องเสียหายโดยตรงด้วยประการอื่นจนไม่สามารถจะเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาได้ โจทก์จึงจะมีสิทธิเรียกค่าเสียหายจากจำเลยได้ต่อไป ซึ่งเป็นการรอไว้ให้ไปว่าเป็นคดีกันอีกต่างหากนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาโจทก์ในข้อนี้ฟังขึ้น ศาลพิพากษาบังคับให้จำเลยชำระค่าสินไหมทดแทนไปในคดีนี้ให้เสร็จสิ้นไปได้ ในเรื่องความเสียหายนั้น ศาลฎีกาเห็นว่าโจทก์เสียหายเป็นเงินเพียง 51,200 บาท

จึงพิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์เป็นว่า ให้จำเลยไปจดทะเบียนยกที่พิพาทให้เป็นทางสาธารณะต่อเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดนนทบุรีถ้าไม่สามารถกระทำได้ ก็ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย เมื่ออยู่ในวิสัยที่จะถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยได้ มิฉะนั้นให้จำเลยใช้ค่าสินไหมทดแทนความเสียหายแก่โจทก์เป็นเงิน 51,200 บาท ให้จำเลยเสียค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นนี้แทนโจทก์ตามทุนทรัพย์เท่าที่โจทก์ชนะ พร้อมทั้งค่าทนายความอีก 500 บาทด้วย

Share