คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7018/2538

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่า ได้ตกลงซื้อรถทัวร์จากจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็น ห้างหุ้นส่วนจำกัด มีจำเลยที่ 2 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการจำเลยที่ 3 เป็นหุ้นส่วนประเภทจำกัดความรับผิดแต่ได้สอดเข้าไปจัดการงานของจำเลยที่ 1 ต้องรับผิดร่วมกันในการคืนเงินมัดจำ จำเลยทั้งสามจึงเป็นลูกหนี้ร่วมของโจทก์ ดังนั้น จึงเป็นการชำระหนี้ที่ไม่อาจแบ่งแยกได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 245(1)ศาลอุทธรณ์มีอำนาจยกฟ้องไปถึงจำเลยที่ 1 ที่ 2ซึ่งไม่อุทธรณ์ด้วย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลประเภทห้างหุ้นส่วนจำกัดมีจำเลยที่ 2 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการจำเลยที่ 3 เป็นหุ้นส่วนประเภทจำกัดความรับผิดแต่สอดเข้าจัดกิจการของจำเลยที่ 1 จึงต้องร่วมกันรับผิดชอบในหนี้สินของจำเลยที่ 1 โดยไม่จำกัดจำนวน เมื่อวันที่ 12 มกราคม 2533จำเลยทั้งสามได้แต่งตั้งและยินยอมให้นางยุพาเป็นตัวแทนเสนอขายรถยนต์จำนวน 2 คัน ให้แก่โจทก์ โจทก์ตกลงจะซื้อรถยนต์นั้นไว้โดยทำสัญญาวางเงินมัดจำให้แก่จำเลยทั้งสามไว้จำนวน 100,000 บาท แต่สัญญาซื้อขายจะทำภายหลังเป็นหนังสือเมื่อมิได้ทำสัญญาซื้อขายรถยนต์เป็นหนังสือสัญญาซื้อขายรถยนต์จึงยังไม่เกิดขึ้น ซึ่งเป็นเพียงคำเสนอขายรถยนต์ของฝ่ายจำเลยเท่านั้น จำเลยทั้งสามและนางยุพาตกลงว่าจะหาแหล่งเงินกู้ให้โจทก์เพื่อนำมาซื้อรถยนต์ดังกล่าวแต่จำเลยทั้งสามและนางยุพาแหล่งเงินกู้ไม่ได้โจทก์จึงไม่ประสงค์จะซื้อรถยนต์จากจำเลยทั้งสาม และได้บอกปัดคำเสนอขายรถยนต์ของจำเลยทั้งสามขอให้คืนเงินมัดจำแก่โจทก์แต่จำเลยทั้งสามไม่ยอมขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันคืนเงินมัดจำจำนวน 100,000 บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยทั้งสามให้การว่า นางยุพาไม่ใช่ตัวแทนของจำเลยทั้งสาม จำเลยทั้งสามไม่เคยตกลงว่าจะหาแหล่งเงินกู้ให้แก่โจทก์ ใบเสร็จรับเงินมัดจำเป็นหลักฐานการซื้อขายรถยนต์ที่สมบูรณ์ ไม่ต้องทำสัญญาซื้อขายเป็นหนังสืออีกโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาซื้อขาย จึงไม่มีสิทธิเรียกเงินมัดจำคืนโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินจำนวน 100,000 บาท แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยทั้งสามอุทธรณ์ ศาลชั้นต้นรับเฉพาะอุทธรณ์ของจำเลยที่ 3
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาที่โจทก์ฎีกาว่า ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ถึงจำเลยที่ 1 ที่ 2 ด้วย โดยวินิจฉัยว่าหนี้ตามฟ้องเป็นการชำระหนี้อันไม่อาจแบ่งแยกได้ชอบหรือไม่เห็นว่าโจทก์ฟ้องว่าได้ตกลงซื้อรถทัวร์จากจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นนิติบุคคลประเภทห้างหุ้นส่วนจำกัดมีจำเลยที่ 2เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ จำเลยที่ 3 เป็นหุ้นส่วนประเภทจำกัดความรับผิดแต่ได้สอดเข้าไปจัดการงานของจำเลยที่ 1จึงต้องรับผิดร่วมกันคืนเงินมัดจำจำนวน 100,000 บาทจำเลยทั้งสามจึงเป็นลูกหนี้ร่วมของโจทก์ ดังนั้น จึงเป็นการชำระหนี้ที่ไม่อาจแบ่งแยกได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 245(1) ที่ศาลอุทธรณ์ยกฟ้องไปถึงจำเลยที่ 1 ที่ 2 ซึ่งไม่อุทธรณ์ด้วยจึงชอบแล้ว
พิพากษายืน

Share