แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ตามพระราชบัญญัติที่ดินในส่วนที่เกี่ยวกับคนต่างด้าวพ.ศ.2486 นั้น คนต่างด้าวจะมีที่ดินได้ต้องได้รับอนุญาตก่อนฉะนั้นเมื่อโจทก์ซึ่งเป็นคนต่างด้าวนำสืบไม่ได้ว่าได้รับอนุญาตให้มีที่ดินได้ตามกฎหมายแล้ว แม้ตนจะได้จดทะเบียนสิทธิหรือนิติกรรม และได้ครอบครองที่ดินมากว่า10 ปีก็ตาม ก็หาได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินนั้นไม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าโจทก์มีกรรมสิทธิ์ที่ดินเนื้อที่ 61 ตารางวา ได้มาโดยเอาตึกแถว 2 ห้องของโจทก์แลกเปลี่ยนกับที่ดินนายลิ้ม โจทก์ได้รับอนุมัติให้ถือกรรมสิทธิ์ที่ดินได้ พนักงานเจ้าหน้าที่ได้ทำนิติกรรมแลกเปลี่ยนให้ และโจทก์ได้ครอบครองที่ดินมากว่า 10 ปี ต่อมาโจทก์นำช่างแผนที่ทำการรังวัด เจ้าพนักงานที่ดินเตรียมออกโฉนดให้โจทก์เรียบร้อยแล้ว แต่เมื่อโจทก์ไปขอรับโฉนด จำเลยซึ่งเป็นเจ้าพนักงานที่ดินกลับกล่าวหาและสั่งให้โจทก์จำหน่ายที่ดินเสียขอให้พิพากษาว่าที่ดินเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ ห้ามจำเลยเกี่ยวข้อง
จำเลยให้การว่าโจทก์เป็นคนต่างด้าว ได้ที่ดินตามฟ้องมาโดยมิได้รับอนุญาตตามกฎหมาย แม้นายอำเภอจะได้จดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมแลกเปลี่ยนที่ดินให้โจทก์ก็ดี นายอำเภอหาใช่เจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจอนุญาตไม่ นิติกรรมนั้นจึงเป็นโมฆะ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับว่า โจทก์มีสิทธิในที่ดินพิพาท
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์เป็นคนต่างด้าวสัญชาติจีน เมื่อโจทก์นำสืบไม่ได้ว่าโจทก์ได้รับอนุญาตให้มีที่ดินในส่วนที่เกี่ยวกับคนต่างด้าวได้ตามกฎหมาย ฉะนั้นแม้โจทก์จะได้จดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมแลกเปลี่ยนที่ดิน และได้ครอบครองที่รายนี้มากว่า 10 ปี แล้วก็ตาม โจทก์ก็หาได้กรรมสิทธิ์ในที่รายนี้ไม่ เพราะการจดทะเบียนสิทธิหรือนิติกรรมต่าง ๆ เกี่ยวกับที่ดินไม่ชอบด้วยกฎหมายเป็นโมฆะมาแต่ต้น ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าโจทก์มีสิทธิในที่พิพาทนั้น ยังไม่ต้องด้วย ความเห็นของศาลฎีกา
พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์