คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 175/2506

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องหาว่าจำเลยยักยอกเงินของบริษัท แต่ขณะที่ฟ้องนี้โจทก์เป็นเพียงผู้ถือหุ้น โดยถ้อยคำและความหมายย่อมชัดเจนอยู่ว่าไม่ใช่ผู้จัดการหรือผู้แทนอื่นๆ ของบริษัท อันจะฟ้องความหรือจัดการแทนบริษัทในคดีอาญาได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 5(3) จะขอให้นำบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาบังคับก็ไม่มีทางจะอนุโลมได้ และประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา1169 ที่โจทก์อ้างมาก็เป็นเรื่องฟ้องเรียกเอาสินไหมทดแทนแก่กรรมการอันเป็นเรื่องทางแพ่ง
ศาลไม่จำเป็นจะต้องวินิจฉัยปัญหาทุกข้อ เมื่อข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าจำเลยทำผิดจริงตามฟ้องแล้ว จะไม่วินิจฉัยข้อกฎหมายเรื่องอำนาจฟ้องก็ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า (ก) จำเลยที่ 2 ลักใบเสร็จรับเงินค่าโดยสารเครื่องบินของโจทก์ที่ 2 ไป (ข) จำเลยทั้งสองสมคบกันปลอมใบสั่งจ่ายเงินเท็จว่าโจทก์ที่ 2 ไปต่างประเทศในกิจธุระของบริษัทเพื่อนำไปเบิกเงินจากบริษัท โดยจำเลยที่ 1 สั่งให้จำเลยที่ 2เบิกได้แล้วจำเลยที่ 2 เอาใบสั่งจ่ายเงินที่ปลอมขึ้นนั้นไปลงบัญชีจ่ายเงินของบริษัท แล้วสมคบกันยักยอกเอาเงินนั้นเสีย ทำให้บริษัทและผู้ถือหุ้นโดยเฉพาะโจทก์ที่ 2 เสียหาย กรรมการผู้อำนวยการของบริษัทไม่ฟ้องร้องว่ากล่าวจำเลย โจทก์ที่ 1 และที่ 2 จึงฟ้องจำเลยโดยอาศัยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1169 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 28 ขอให้ลงโทษ

โจทก์ร่วมที่ 1 และที่ 2 ขอเข้าเป็นโจทก์ร่วม โดยอ้างบทกฎหมายอย่างโจทก์เดิม และว่าเป็นผู้เสียหายจากการกระทำของจำเลยด้วยโดยเฉพาะเงินที่จำเลยยักยอกไปนั้น มีเงินปันผลส่วนได้ของโจทก์ร่วมที่ 2 รวมอยู่ด้วย ศาลอนุญาต

จำเลยให้การตัดฟ้องว่าโจทก์ทั้งสองไม่มีอำนาจดำเนินคดี เพราะโจทก์ที่ 1 เป็นนิติบุคคล ต้องมีกรรมการบริหารเป็นตัวแทนนายอัญไม่ใช่กรรมการ ไม่มีอำนาจทำการแทนบริษัท ส่วนโจทก์ที่ 2และโจทก์ร่วมก็ไม่มีอำนาจดำเนินคดี เพราะประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1169 บัญญัติให้ผู้ถือหุ้นฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทนจากกรรมการผู้ทำความเสียหายแก่บริษัท ซึ่งเป็นทางแพ่งมิใช่ทางอาญา และจำเลยปฏิเสธการกระทำผิดดังที่โจทก์หา

ศาลชั้นต้นเห็นว่าโจทก์ที่ 1 และที่ 2 ไม่มีอำนาจดำเนินคดีเฉพาะฟ้องข้อ (ข) ได้ แต่โจทก์ที่ 2 ดำเนินคดีตามฟ้องข้อ (ก)ได้ และฟังว่าจำเลยที่ 2 มีความผิดฐานลักทรัพย์ พิพากษาลงโทษจำเลยที่ 2 ฐานนี้ ข้อหาอื่นให้ยก

โจทก์และโจทก์ร่วมอุทธรณ์ขอให้ลงโทษจำคุกจำเลยที่ 2 ให้หนักขึ้น และขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามฟ้อง

จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ขอให้ยกฟ้องในปัญหาตัดฟ้องและในปัญหาข้อเท็จจริงเรื่องลักทรัพย์

ศาลอุทธรณ์เห็นว่า ข้อหาว่าจำเลยที่ 2 ลักทรัพย์ฟังไม่ได้ ส่วนข้อหาอื่นตามข้อ (ข) ฟังว่าโจทก์นำสืบข้อเท็จจริงไม่สมฟ้อง ไม่ต้องวินิจฉัยข้อกฎหมาย พิพากษาแก้ให้ยกฟ้อง ปล่อยจำเลยที่ 2

โจทก์และโจทก์ร่วมฎีกาว่าศาลอุทธรณ์จะต้องวินิจฉัยข้อกฎหมายเรื่องอำนาจฟ้องเสียก่อน แล้วจึงวินิจฉัยข้อเท็จจริง โจทก์มีอำนาจฟ้องแทนบริษัทได้ ข้อเท็จจริงโจทก์นำสืบสม ขอให้ลงโทษจำเลยตามฟ้อง

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ในชั้นอุทธรณ์มีทั้งปัญหาข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย ว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ ถ้ามี จำเลยได้ทำผิดจริงตามฟ้องหรือไม่ แต่เพราะศาลอุทธรณ์เห็นว่าข้อเท็จจริงฟังไม่ได้แล้วหมายความว่า ถึงแม้โจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลย ๆ ก็ไม่ต้องรับโทษจึงไม่วินิจฉัยข้อกฎหมายเรื่องอำนาจฟ้อง ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยว่าศาลไม่จำเป็นจะต้องวินิจฉัยปัญหาทุกข้อ

การฟ้องความหรือจัดการแทนผู้เสียหายในคดีอาญา ถ้าผู้เสียหายเป็นนิติบุคคลจะต้องเป็นไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 5(3) กรณีที่โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามฟ้องข้อ (ข) นี้ ก็ต้องอยู่ภายใต้มาตรานี้ด้วย ขณะที่ฟ้องโจทก์เป็นเพียงผู้ถือหุ้น ทั้งโดยถ้อยคำและความหมายย่อมชัดเจนอยู่ว่าไม่ใช่ผู้จัดการหรือผู้แทนเมื่อความหมายชัดเจนอยู่แล้ว ที่โจทก์ขอให้นำบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาบังคับ จึงไม่มีทางที่จะอนุโลมได้ และประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1169ที่โจทก์อ้างมาก็เป็นเรื่องฟ้องเรียกเอาสินไหมทดแทนแก่กรรมการอันเป็นทางแพ่งโจทก์และโจทก์ร่วมไม่มีอำนาจดำเนินคดีอาญาตามฟ้องข้อ (ข) ไม่ต้องวินิจฉัยข้อเท็จจริงในประเด็นข้อนี้ต่อไป ส่วนฟ้องข้อ (ก)เรื่องลักทรัพย์นั้น ศาลฎีกาเห็นว่าข้อนำสืบของโจทก์ยังน่าสงสัยอยู่พยานจำเลยสามารถหักล้างได้

พิพากษายืน

Share