คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 558/2506

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่าโจทก์เกิดในประเทศไทย มีสัญชาติไทย ต่อมาได้ไปประเทศจีนแล้วเดินทางกลับมากองตรวจคนเข้าเมืองให้อยู่ในประเทศไทยได้ภายในเวลาจำกัดโจทก์ร้องขอพิสูจน์สัญชาติว่าเป็นคนไทยต่อกองตรวจคนเข้าเมืองอธิบดีกรมตำรวจสั่งระงับการพิสูจน์สัญชาติโจทก์จึงขอให้พิพากษาแสดงว่าโจทก์เกิดในประเทศไทย มีสัญชาติเป็นไทย จำเลยให้การว่าโจทก์ไม่ใช่บุคคลสัญชาติไทยและไม่ได้เกิดในประเทศไทย แต่เกิดในประเทศจีน มีสัญชาติจีนโจทก์ร้องขออยู่ในประเทศไทยชั่วคราวโดยไม่มีที่สิ้นสุดจำเลยจึงสั่งไม่ให้โจทก์อยู่ต่อไป ดังนี้ มีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยว่าเป็นคนมีสัญชาติไทยหรือไม่
การที่โจทก์จะได้มาซึ่งสัญชาติไทยหรือไม่ เป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(5)
โจทก์เกิดในประเทศไทยและมีสัญชาติไทย แต่ต่อมาโจทก์ได้ขอใบสำคัญเป็นคนต่างด้าวโจทก์จึงขาดจากสัญชาติไทยไประยะหนึ่งในระหว่างที่พระราชบัญญัติสัญชาติ (ฉบับที่2) พ.ศ.2496 มาตรา 5 ใช้บังคับอยู่แต่ต่อมามีพระราชบัญญัติฉบับที่ 3 พ.ศ.2499 ประกาศใช้ โจทก์ย่อมได้สัญชาติไทยกลับคืนมาโดยมาตรา 3 และ 7 แห่งพระราชบัญญัติฉบับที่ 3โจทก์ไม่จำต้องไปร้องขอคืนสัญชาติไทยตามพระราชบัญญัติสัญชาติ พ.ศ.2495 มาตรา 20(2) ทั้งกรณีเช่นนี้ก็ไม่ใช่เรื่องตามมาตรานี้ด้วย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าโจทก์เกิดในประเทศไทยจึงมีสัญชาติไทยตามกฎหมายเมื่อขึ้นทะเบียนทหารแล้ว ไปศึกษาที่ประเทศจีน 5 ปี เดินทางกลับมาแล้วกองตรวจคนเข้าเมืองได้ให้โจทก์อยู่ในประเทศไทยภายในเวลาจำกัดโจทก์ยื่นคำขอพิสูจน์สัญชาติว่าเป็นคนไทย ในระหว่างสอบสวนนี้เองอธิบดีกรมตำรวจสั่งระงับการพิสูจน์สัญชาติ ซึ่งเป็นคำสั่งไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้ศาลพิพากษาแสดงว่าโจทก์เกิดในประเทศไทย มีสัญชาติไทยห้ามจำเลยส่งตัวโจทก์ออกจากประเทศไทย

จำเลยให้การว่าโจทก์ไม่ใช่บุคคลสัญชาติไทย และไม่ได้เกิดในประเทศไทยแต่เกิดในประเทศจีนมีสัญชาติจีน เพิ่งเดินทางจากประเทศจีนมาประเทศไทยในฐานะผู้อยู่ชั่วคราวโดยไม่มีสิ้นสุดจำเลยที่ 1 จึงสั่งไม่ให้อยู่ต่อไป เป็นคำสั่งที่ชอบ ส่วนการร้องขอพิสูจน์สัญชาตินั้นยังมิได้สั่ง จึงถือว่าจำเลยยังมิได้โต้แย้งสิทธิของโจทก์ ฟ้องของโจทก์จึงไม่ชอบ ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นเห็นว่า ที่อธิบดีกรมตำรวจไม่อนุญาตให้โจทก์อยู่ต่อไปเพื่อพิสูจน์สัญชาตินั้น เป็นการงดพิสูจน์สัญชาติและไม่ให้โจทก์อยู่ในประเทศไทยจึงเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์แล้วโจทก์ย่อมใช้สิทธิทางศาลขอพิสูจน์ได้ และคดีฟังได้ว่าโจทก์เกิดในประเทศไทยและมีสัญชาติไทยพิพากษาแสดงว่าโจทก์เกิดในประเทศไทยมีสัญชาติเป็นคนไทย

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า โจทก์โต้แย้งสิทธิของโจทก์อยู่ในตัวแล้วโจทก์จึงมีอำนาจฟ้องคดีได้ และฟังว่าโจทก์เกิดในประเทศไทยและมีสัญชาติไทยแล้วต่อมาได้ขอใบสำคัญเป็นคนต่างด้าวย่อมสูญเสียสัญชาติไทยไปแล้ว และถือว่าโจทก์ได้ยอมถือสัญชาติจีนเพียงสัญชาติเดียวตามพระราชบัญญัติสัญชาติ มาตรา 16 ทวิ ซึ่งเพิ่มเติมโดยฉบับที่ 2 พ.ศ. 2496 มาตรา 5 แม้ต่อมาภายหลังจะมีฉบับที่ 3 พ.ศ. 2499 มาตรา 7 ยกเลิกมาตรา 16 ทวิ ก็ไม่ทำให้โจทก์กลับได้คืนมาซึ่งสัญชาติ พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยปัญหาที่โจทก์ฎีกาว่า

1. ที่โจทก์ฎีกาว่าศาลอุทธรณ์ไม่มีอำนาจยกประเด็นที่ว่าโจทก์ได้สูญเสียสัญชาติไทยไปหรือไม่ขึ้นวินิจฉัยนั้น เห็นว่า ตามฟ้องและคำให้การมีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยว่าโจทก์เป็นคนมีสัญชาติไทยหรือไม่ การวินิจฉัยนั้นจึงไม่นอกฟ้องนอกประเด็น และการที่โจทก์จะได้มาซึ่งสัญชาติไทยย่อมมีผลกระทบกระเทือนถึงผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน จึงเป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(5) ศาลอุทธรณ์จึงยกขึ้นวินิจฉัยได้

2. ปัญหาที่ว่า การที่โจทก์ได้ขอใบสำคัญเป็นคนต่างด้าว จะทำให้โจทก์สูญเสียสัญชาติไทยไปตามพระราชบัญญัติสัญชาติ มาตรา 16 ทวิ ซึ่งเพิ่มเติมโดยฉบับที่ 2 พ.ศ. 2496 หรือไม่นั้น เมื่อมีประกาศใช้พระราชบัญญัติสัญชาติ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2496 ซึ่งมีมาตรา 5 ให้เพิ่มความเป็นมาตรา 16 ทวิ แห่งพระราชบัญญัติสัญชาติ พ.ศ. 2495 แล้วก็ให้โจทก์ขาดจากสัญชาติไทยไประยะหนึ่งในระหว่างที่บทกฎหมายนั้นใช้บังคับอยู่ ครั้นต่อมามีพระราชบัญญัติสัญชาติ (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2499 ประกาศใช้มาตรา 3 ให้ยกเลิกมาตรา 7 แห่งฉบับ พ.ศ. 2495ซึ่งได้แก้ไขแล้วโดยฉบับที่ 2 พ.ศ. 2496 และใช้ความใหม่แทนว่า”มาตรา 7 บุคคลต่อไปนี้ย่อมได้สัญชาติไทยโดยการเกิด ฯลฯ (3) ผู้เกิดในราชอาณาจักรไทย” ทั้งมาตรา 7 ของฉบับที่ 3 นี้ก็ให้ยกเลิกความในมาตรา 16 ทวิ ดังกล่าวข้างต้นเสียแล้ว ดังนี้ จึงถือว่าโจทก์ย่อมได้สัญชาติไทยกลับคืนมาตามเดิม โดยอาศัยสิทธิตามฉบับที่ 3 มาตรา 3 เมื่อโจทก์ได้คืนสัญชาติไทยมาโดยบทบัญญัติแห่งกฎหมายใหม่ดังกล่าวแล้ว โจทก์ก็ไม่จำต้องไปร้องขอคืนสัญชาติไทยตามพระราชบัญญัติสัญชาติ พ.ศ. 2495 มาตรา 20(2) ดังที่จำเลยอ้างทั้งกรณีเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องตามมาตรา 20(2) ด้วย พิพากษากลับโดยพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share