คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1848/2506

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

(1) เมื่อคู่ความรับกันว่า ศาลได้พิพากษาในอีกคดีหนึ่งถึงที่สุดแล้วว่าบุตรเป็นของบิดา แล้วต่างไม่สืบพยาน เป็นแต่ขอให้ศาลวินิจฉัยต่อไปตามท้องสำนวนของคดีนี้ที่มีมาในประเด็นว่า โจทก์มีอำนาจตามกฎหมายเรียกบุตรคืนจากจำเลย (หมายถึงบิดา) หรือไม่ หาใช่เป็นการถ้ากันแต่เพียงว่า ถ้ามีข้อได้แย้งเกี่ยวกับสิทธิและหน้าที่ของโจทก์จำเลยซึ่งทำให้ต้องคดีต่อศาลได้แล้วก็ให้โจทก์ชนะคดีไม่ขาดแต่ขอให้ศาลวินิจฉัยไปตามฟ้องสำนวนว่าจะทำให้โจทก์มีสิทธิฟ้องเรียกให้จำเลยส่งเด็กชายสุรินทร์หรือไม่ ทำให้จำเลยมีนิติสัมพันธ์ต้องส่งเด็กชายสุรินทร์แก่โจทก์หรือไม่
(2) เมื่อคดีที่รับกันนั้นฟังได้ว่าบุตรยังไม่บรรลุนิติภาวะ ก็ต้องอยู่ใต้อำนาจปกครองซึ่งมาตรา + บัญญัติว่าอำนาจนี้อยู่แก่บิดา และให้ผู้ใช้อำนาจนี้มีสิทธิกำหนดที่อยู่ของบุตร แก่โจทก์มามีสิทธิเช่นว่านี้ไม่ โจทก์จึงไม่มีสิทธิที่จะเรียกเด็กชายสุรินทร์จากจำเลย จำเลยไม่มีนิติสัมพันธ์ ไม่มีหน้าที่ต้องส่งเด็กชายสุรินทร์แก่โจทก์ โจทก์จึงไม่มีทางชนะคดีตามข้อตกลง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ศาลบังคับจำเลยส่งเด็กชายสุรินทร์ให้โจทก์
จำเลยให้การต่อสู้หลายประการ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕๒๖ บัญญัติว่าเด็กเกิดก่อนสมรสจะเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมาย(ของบิดา) ต่อเมื่อ………..ศาลพิพากษาว่าเป็นบุตรของบิดา)และเมื่อปรากฎตามคำรับกันของคู่ความว่าเวลานี้ศาลได้พิพากษาในคดีแพ่งแดงที่ ๑๑๕/๒๕+๔ ว่าเด็กชายสุรินทร์เป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของจำเลยที่ ๑(บิดาซึ่งเป็นเวลาก่อนศาลชั้นต้นพิพากษาคดีนี้และปรากฎว่าคำพิพากษาดังกล่าวได้เด็ดขาดคู่ความไม่ฎีกาต่อไป ดังนั้นเด็กชายสุรินทร์จึงเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของจำเลยที่ ๑ ด้วย และในกรณีที่เด็กชายสุรินทร์เป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของโจทก์และจำเลยที่ ๑ และยังไม่บรรลุนิติภาวะก็ต้องอยู่ได้อำนาจปกครอง มาตรา ๑๕+๗ บัญญัติว่าอำนาจปกครองนั้นอยู่แก่บิดา คือ จำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๑ ผู้ให้อำนาจปกครองจึงมีสิทธิกำหนดชื่อผู้ปกครองของเด็กชายสุรินทร์ โจทก์หามีสิทธิอันนี้ไม่ การที่ขณะนี้เด็กชายสุรินทร์อยู่กับจำเลยและปรากฎตามคำฟ้องและคำให้การว่า โจทก์ไปขอรับจากจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๑ ขัดขวางนั้น เป็นการแสดงว่าจำเลยที่ ๑ ใช้อำนาจปกครอง กำหนดที่อยู่ของเด็กชายสุรินทร์ให้อยู่กับจำเลย ไม่ให้อยู่กับโจทก์ โจทก์มิใช่ผู้ใช้อำนาจปกครอง จึงไม่มีสิทธิตามมาตรา ๑๕๓๙ ที่จะกำหนดที่อยู่ของเด็กชายสุรินทร์ ไม่มีสิทธิเรียกเด็กชายสุรินทร์จากจำเลย โจทก์อ้างว่าไม่มีกฎหมายห้ามหญิงฟ้องสามีเรียกบุตร โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องได้ ดังนั้น โจทก์ย่อมชนะคดีตามข้อตกลง นั้น ข้อตกลงตามรายงานกระบวนพิจารณาเพียงว่าคู่ความไม่ติดใจสืบพยาน ขอให้ศาลวินิจฉัยไปตามฟ้องสำนวนในประเด็นว่า โจทก์มีอำนาจตามกฎหมายเรียกบุตรคืนจากจำเลยหรือไม่ กล่าวโดย+ คู่ความมิได้ท้ากันว่า เพียงมีข้อโต้แย้งเกิดขึ้นเกี่ยวกับสิทธิหรือหน้าที่ของโจทก์และ+กฎหมายแพ่ง ซึ่งทำให้โจทก์ฟ้องคดีต่อศาลได้แล้ว ก็ให้โจทก์ชนะคดี หากแต่ขอศาลวินิจฉัยไปตามฟ้องสำนวนว่า จะทำให้โจทก์มีสิทธิตามกฎหมายเรียกให้จำเลยส่งเด็กชายสุรินทร์แก่โจทก์หรือไม่ จะทำให้จำเลยมีนิติสัมพันธ์ต้องส่งเด็กชายสุรินทร์แก่โจทก์หรือไม่
เมื่อข้อเท็จจริงตามฟ้องสำนวน จำเลยที่ ๑ เป็นผู้ใช้อำนาจปกครอง โจทก์มิใช่มีอำนาจปกครอง โจทก์จึงไม่มีสิทธิตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕๓+ ที่+ยกที่+ขู่ลวงเด็กชายสุรินทร์ ที่จะเรียกเด็กชายสุรินทร์คืนจากจำเลย จำเลยไม่มีนิติสัมพันธ์หน้าที่ต่อโจทก์ที่จะต้องส่งเด็กชายสุรินทร์ให้โจทก์ดังฟ้อง ดังนั้น โจทก์ก็ไม่ชนะคดีตามข้อตกลง
พิพากษายืน

Share