แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์เป็นลูกจ้างของจำเลย ต้องทำงานให้แก่จำเลยในวันและเวลาทำงานเพื่อตอบแทนค่าจ้างที่จำเลยจ่ายให้แก่โจทก์เป็นรายเดือน แต่โจทก์กลับเอาเวลาที่ต้องทำงานให้แก่จำเลยไปว่าความให้แก่ จ.ซึ่งฟ้องผู้บังคับบัญชาในข้อหาหมิ่นประมาทอันสืบเนื่องจากการปฏิบัติหน้าที่ให้แก่จำเลย เป็นการสนับสนุนให้พนักงานของจำเลยฟ้องร้องกันเอง ก่อให้เกิดการแตกความสามัคคีระหว่างพนักงานอันเป็นการฝ่าฝืนข้อบังคับของจำเลย การกระทำของโจทก์ดังกล่าว นอกจากจะเสียเวลาปฏิบัติหน้าที่ของโจทก์ซึ่งจะต้องทำงานให้แก่จำเลยแล้ว ยังทำให้ผู้บังคับบัญชาและพนักงานหลายคนของจำเลยต้องมาเสียเวลาเกี่ยวกับเรื่องนี้ การกระทำของโจทก์จึงเป็นการไม่ตั้งใจปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย ข้อบังคับ คำสั่งและระเบียบแบบแผนให้เกิดผลดีแก่จำเลยตามข้อบังคับของจำเลยด้วย เมื่อโจทก์กระทำการฝ่าฝืนข้อบังคับการทำงานของจำเลย จำเลยย่อมมีสิทธิลงโทษโจทก์ได้ตามข้อบังคับการทำงานของจำเลย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ เป็นนิติบุคคลตามพระราชบัญญัติการไฟฟ้านครหลวง พ.ศ.๒๕๐๑ มีจำเลยที่ ๒ เป็นผู้ว่าการ โจทก์เป็นลูกจ้างจำเลยปัจจุบันเป็นนิติกร ๘ ฝ่ายกฎหมาย เมื่อวันที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๓๙ จำเลยที่ ๒ได้มีคำสั่งลงโทษภาคทัณฑ์โจทก์ กรณีโจทก์ได้ร่างคำฟ้องคดีอาญาให้แก่นายจำลองสังข์เมือง ฟ้องนายสมชาย สอนกลิ่น ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาของนายจำลองในข้อหาหมิ่นประมาท เป็นการสนับสนุนให้พนักงานฟ้องร้องกันเอง อันเป็นสาเหตุให้เกิดการแตกแยกความสามัคคีและอาจทำให้ผู้ใต้บังคับบัญชาเกิดความกระด้างกระเดื่องต่อผู้บังคับบัญชาเกิดความไม่สงบในสังคมแรงงานและการบริหารงานของจำเลยที่ ๑ผู้บังคับบัญชาและพนักงานหลายคนต้องเสียเวลาในเรื่องนี้โดยไม่เกิดประโยชน์ใด ๆต่อหน่วยงาน กับเป็นเหตุให้เสียการปกครองบังคับบัญชา จึงเข้าข่ายกระทำผิดวินัยฐานไม่ตั้งใจปฏิบัติหน้าที่ตามระเบียบแบบแผนให้เกิดผลดีแก่จำเลยที่ ๑ และไม่รักษาความสามัคคีระหว่างพนักงานตามข้อ ๗ (๑) และข้อ ๗ (๑๒) แห่งข้อบังคับการไฟฟ้านครหลวงว่าด้วยวินัยและการลงโทษพนักงาน พ.ศ.๒๕๓๓ แก้ไขเพิ่มเติม(ฉบับที่ ๒) พ.ศ.๒๕๓๔ และแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๓) พ.ศ.๒๕๓๖ โจทก์อุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวว่า คำสั่งจำเลยที่ ๑ ซึ่งคณะกรรมการสอบสวนเสนอลงนามนั้นไม่ชอบด้วยข้อบังคับของจำเลยที่ ๑ ว่าด้วยวินัยและการลงโทษพนักงาน กล่าวคือ ไม่มีการสืบสวนเพื่อทราบข้อเท็จจริงก่อนตามข้อบังคับข้อ ๘ ไม่มีการแจ้งข้อหาหรือคำกล่าวโทษให้โจทก์ทราบ ซึ่งเป็นการดำเนินการที่ไม่ให้โอกาสโจทก์ชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา ตลอดจนนำพยานหลักฐานมาสืบแก้ข้อหาได้ตามควรแก่กรณี นอกจากนี้การสอบสวนไม่มีการชี้ชัดหรือมีพยานหลักฐานใดมาพิสูจน์ว่าโจทก์ได้กระทำผิดตามข้อบังคับของจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๒ ได้แจ้งผลการวินิจฉัยอุทธรณ์ว่า อุทธรณ์ไม่มีเหตุผลหรือน้ำหนักเพียงพอที่จะพิจารณาเป็นอย่างอื่นได้ โจทก์เห็นว่าการกระทำของจำเลยทั้งสองไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้บังคับจำเลยที่ ๑ โดยจำเลยที่ ๒ หรือจำเลยที่ ๒ เพิกถอนคำสั่งลงโทษภาคทัณฑ์โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การว่า โจทก์เอาเวลาปฏิบัติงานไปทำงานส่วนตัว ถือได้ว่าเป็นการไม่อุทิศเวลาของตนให้แก่จำเลยที่ ๑ จึงเป็นความผิดตามข้อบังคับว่าด้วยวินัยและการลงโทษพนักงาน พ.ศ.๒๕๓๓ ที่แก้ไขเพิ่มเติม ข้อ ๗ (๑)และ (๔) ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณา ศาลแรงงานกลางอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องจำเลยที่ ๒
ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ ๑ เป็นนิติบุคคลตามพระราชบัญญัติการไฟฟ้านครหลวง พ.ศ.๒๕๐๑ โจทก์เป็นลูกจ้างจำเลยที่ ๑ตำแหน่งนิติกร ๘ ฝ่ายกฎหมาย โจทก์รับเป็นทนายความให้แก่นายจำลอง สังข์เมืองหัวหน้าแผนกเครื่องวัดไฟฟ้า กองอุปกรณ์จำหน่าย ฝ่ายแผนผังและอุปกรณ์งานจำหน่ายของจำเลยที่ ๑ การที่โจทก์ร่างฟ้องและรับเป็นทนายความให้นายจำลองฟ้องนายสมชายผู้บังคับบัญชาในข้อหาหมิ่นประมาท เพราะเห็นว่านายจำลองไม่ได้รับความเป็นธรรมจากนายสมชาย เป็นการใช้สิทธิขั้นพื้นฐานตามกฎหมาย ไม่ได้จงใจกลั่นแกล้งนายสมชาย ที่จำเลยอ้างว่าการกระทำของโจทก์เป็นการก่อให้เกิดความแตกแยกความสามัคคี อาจทำให้ผู้ใต้บังคับบัญชาเกิดความกระด้างกระเดื่องต่อผู้บังคับบัญชาเกิดความไม่สงบในสังคมแรงงานทำให้เสียการปกครองนั้น เป็นเรื่องที่กริ่งเกรงเข้าใจกันไปเอง การกระทำของโจทก์ไม่เป็นความผิดทางวินัยฐานไม่ตั้งใจปฏิบัติหน้าที่ตามระเบียบแบบแผนให้เกิดผลดีแก่จำเลยที่ ๑ และไม่รักษาความสามัคคีระหว่างพนักงานตามข้อ ๗ (๑) (๑๒) แห่งข้อบังคับของจำเลยที่ ๑พ.ศ.๒๕๓๓ ที่แก้ไขแล้ว พิพากษาให้เพิกถอนคำสั่งของจำเลยที่ ๑ ที่ให้ลงโทษภาคทัณฑ์โจทก์
จำเลยที่ ๑ อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า ปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยที่ ๑ มีว่า โจทก์ทำผิดวินัยฐานไม่ตั้งใจปฏิบัติหน้าที่ตามระเบียบแบบแผนให้เกิดผลดีแก่จำเลยที่ ๑ และไม่รักษาความสามัคคีระหว่างพนักงาน ตามข้อบังคับการไฟฟ้านครหลวงว่าด้วยวินัยและการลงโทษพนักงาน พ.ศ.๒๕๓๓ ที่แก้ไขเพิ่มเติมข้อ ๗ (๑) และ (๑๒) หรือไม่ และมีเหตุที่จะเพิกถอนคำสั่งของจำเลยที่ ๑ ที่ลงโทษภาคทัณฑ์โจทก์หรือไม่ เห็นว่า โจทก์เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ ๑ ต้องทำงานให้แก่จำเลยที่ ๑ ในวันและเวลาทำงานเพื่อตอบแทนค่าจ้าง ที่จำเลยที่ ๑ จ่ายให้แก่โจทก์เป็นรายเดือน แต่โจทก์กลับเอาเวลาที่ต้องทำงานให้แก่จำเลยที่ ๑ ไปว่าความให้แก่นายจำลองซึ่งฟ้องนายสมชายผู้บังคับบัญชาในข้อหาหมิ่นประมาทอันสืบเนื่องจากการปฏิบัติหน้าที่ให้แก่จำเลยที่ ๑ เป็นการสนับสนุนให้พนักงานของจำเลยที่ ๑ ฟ้องร้องกันเองก่อให้เกิดการแตกความสามัคคีระหว่างพนักงานอันเป็นการฝ่าฝืนข้อบังคับของจำเลยที่ ๑ ข้อ ๗ (๑๒) และการกระทำของโจทก์ดังกล่าว นอกจากจะเสียเวลาปฏิบัติหน้าที่ของโจทก์ซึ่งจะต้องทำงานให้แก่จำเลยที่ ๑ แล้ว ยังทำให้ผู้บังคับบัญชาและพนักงานหลายคนของจำเลยที่ ๑ ต้องมาเสียเวลาเกี่ยวกับเรื่องนี้การกระทำของโจทก์จึงเป็นการไม่ตั้งใจปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย ข้อบังคับ คำสั่งและระเบียบแบบแผนให้เกิดผลดีแก่จำเลยที่ ๑ ตามข้อบังคับของจำเลยที่ ๑ ข้อ๗ (๑) ด้วย เมื่อโจทก์กระทำการฝ่าฝืนข้อบังคับการทำงานของจำเลยที่ ๑ ข้อ๗ (๑) และ (๑๒) จำเลยที่ ๑ ย่อมมีสิทธิลงโทษโจทก์ได้ คำสั่งที่จำเลยที่ ๑ลงโทษภาคทัณฑ์โจทก์นั้นชอบด้วยข้อบังคับการทำงานของจำเลยที่ ๑ แล้ว จึงไม่มีเหตุที่จะเพิกถอน
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์.