คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7014/2542

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ส. กับโจทก์ไม่มีส่วนได้เสียในที่ดินพิพาทจึงเป็นผู้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในมูลคดีที่จำเลยกับ ก. พิพาทกัน การที่ ส. กับโจทก์ทำสัญญาตกลงออกค่าใช้จ่ายต่าง ๆให้จำเลยในการดำเนินคดีโดยหวังจะได้ที่ดินพิพาทนั้นเป็นสัญญาที่ทำขึ้นโดยมีข้อตกลงให้ได้รับผลประโยชน์ตอบแทนจากการเป็นความ ซึ่ง ส. กับโจทก์คู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในมูลคดีนั้น เป็นการแสวงหาประโยชน์จากการที่ผู้อื่นเป็นความกัน จึงเป็นสัญญาที่มีวัตถุประสงค์เป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน ย่อมตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 113 เดิม (มาตรา 150 ที่แก้ไขใหม่) ไม่ใช่สัญญาที่เข้าลักษณะจะซื้อขายที่ดินพิพาทโดยมีเงื่อนไขบังคับก่อน

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า จำเลยทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินบางส่วนกับนางกวย สุนทรชื่น แต่นางกวยผิดสัญญาไม่ยอมโอนที่ดินให้แก่จำเลย ต่อมาวันที่ 11 มีนาคม 2533 จำเลยขอให้นายสำรอง สมไพบูลย์ ช่วยหาทนายความและออกเงินค่าจ้างว่าความกับค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ในการดำเนินคดีในคดีที่จำเลยเป็นโจทก์ฟ้องนางกวยให้โอนที่ดินตามสัญญาจะซื้อขายดังกล่าวจนกว่าคดีจะถึงที่สุด และถ้าจำเลยเป็นฝ่ายชนะคดี จำเลยยอมยกที่ดินที่ชนะคดีให้แก่นายสำรองโดยนายสำรองต้องจ่ายเงิน 60,000 บาท แก่จำเลยเป็นการตอบแทน นายสำรองได้ติดต่อหาทนายความและออกเงินค่าจ้างว่าความกับค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ในการดำเนินคดีให้แก่จำเลยมาโดยตลอด แต่ขณะที่คดีดังกล่าวอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา นายสำรองได้ถึงแก่ความตาย จำเลยจึงทำสัญญาตกลงให้โจทก์เป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ในการดำเนินคดีแทนนายสำรอง และถ้าจำเลยเป็นฝ่ายชนะคดี จำเลยยอมยกที่ดินที่ชนะคดีให้แก่โจทก์ โดยโจทก์ต้องจ่ายเงิน60,000 บาท แก่จำเลยเป็นการตอบแทน ต่อมาปี 2538 ศาลฎีกาพิพากษายกฎีกาของนางกวยกับพวกจำเลยในคดีดังกล่าว คดีถึงที่สุดโดยจำเลยเป็นฝ่ายชนะคดีจำเลยต้องยกที่ดินให้แก่โจทก์ตามสัญญา แต่จำเลยเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยยื่นคำขอรังวัดแบ่งแยกที่ดินแล้วจดทะเบียนโอนให้โจทก์ หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย และให้จำเลยรับเงิน 60,000 บาทจากโจทก์ในวันจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ด้วย

จำเลยให้การว่า สัญญาที่จำเลยทำกับโจทก์ดังกล่าวตกเป็นโมฆะเพราะมีวัตถุประสงค์ต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมาย ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน เพราะเป็นการยุยงส่งเสริมให้จำเลยและนางกวยเป็นความกัน โดยนายสำรองและโจทก์ไม่มีส่วนได้เสียกับจำเลยแต่อย่างใด ขอให้ยกฟ้อง

ในชั้นชี้สองสถานโจทก์ยอมรับข้อเท็จจริงว่า นายสำรองเป็นเพียงคนรู้จักกับโจทก์โดยนายสำรองกับโจทก์ต่างก็ไม่มีส่วนได้เสียในที่ดินพิพาทและโจทก์ก็ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในที่ดินพิพาทแต่อย่างใดด้วย ศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้แล้ว ให้งดชี้สองสถานและพิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “สัญญาที่จำเลยทำกับนายสำรองตามเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 2 นั้น มีข้อตกลงว่า ให้นายสำรองติดต่อว่าจ้างทนายความในคดีที่จำเลยเป็นโจทก์ฟ้องนางกวย สุนทรชื่น ให้โอนที่ดินแก่จำเลยตามหนังสือสัญญาจะซื้อขาย โดยนายสำรองเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ในการดำเนินคดีจนกว่าคดีจะถึงที่สุดและเมื่อคดีถึงที่สุดจำเลยชนะคดี จำเลยยอมยกที่ดินพิพาทที่จำเลยฟ้องให้แก่นายสำรองทันทีโดย นายสำรองจะต้องจ่ายเงินจำนวน 60,000 บาท แก่จำเลยในวันจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทเป็นการตอบแทน เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่านายสำรองไม่มีส่วนได้เสียในที่ดินพิพาทจึงเป็นผู้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในมูลคดีที่จำเลยกับนางกวยพิพาทกัน กรณีย่อมเป็นที่เห็นได้ว่าการที่นายสำรองตกลงออกค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ให้จำเลยในการดำเนินคดีโดยหวังจะไดที่ดินพิพาทที่จำเลยพิพาทกับนางกวยมาเป็นของนายสำรอง สัญญาที่นายสำรองทำกับจำเลยตามเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 2 นั้น เป็นสัญญาที่ทำขึ้นโดยมีข้อตกลงให้ได้รับผลประโยชน์ตอบแทนจากการเป็นความ ซึ่งนายสำรองคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในมูลคดีนั้น ย่อมเป็นการแสวงหาประโยชน์จากการที่ผู้อื่นเป็นความกัน จึงเป็นสัญญาที่มีวัตถุประสงค์เป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนย่อมตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 113 เดิม (มาตรา 150 ที่แก้ไขใหม่) ไม่ใช่เป็นสัญญาที่เข้าลักษณะสัญญาจะซื้อขายที่ดินพิพาทโดยมีเงื่อนไขบังคับก่อนตามที่โจทก์อ้างในฎีกา ส่วนสัญญาที่จำเลยทำกับโจทก์ตามเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 3 นั้น เป็นสัญญาที่โจทก์ทำกับจำเลยโดยมีข้อความและเงื่อนไขอย่างเดียวกับสัญญาที่จำเลยทำไว้กับนายสำรองดังกล่าว เหตุที่ทำสัญญากันดังกล่าวเนื่องจากนายสำรองได้ถึงแก่ความตายไป เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าโจทก์ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องหรือมีส่วนได้เสียในที่ดินพิพาท จึงเป็นผู้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในมูลคดีที่จำเลยกับนางกวยพิพาทกัน ย่อมเป็นที่เห็นได้ว่าการที่โจทก์ตกลงออกค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ให้จำเลยในการดำเนินคดีชั้นฎีกาก็โดยหวังจะได้ที่ดินพิพาทที่จำเลยพิพาทกับนางกวยมาเป็นของโจทก์ สัญญาที่โจทก์ทำกับจำเลยตามเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 3 ดังกล่าวเป็นสัญญาที่ทำขึ้นโดยมีข้อตกลงให้ได้รับผลประโยชน์ตอบแทนจากการเป็นความ ซึ่งโจทก์คู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในมูลคดีนั้นย่อมเป็นการแสวงหาประโยชน์จากการที่ผู้อื่นเป็นความกัน จึงเป็นสัญญาที่มีวัตถุประสงค์เป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน ย่อมตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 150 เช่นเดียวกัน โจทก์จะฟ้องบังคับให้จำเลยโอนที่ดินพิพาทให้โจทก์และให้จำเลยรับเงินจากโจทก์จำนวน60,000 บาท ตามสัญญาหาได้ไม่ ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาต้องกันให้ยกฟ้องโจทก์นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน

Share