คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7014/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

หนังสือตกลงชำระหนี้ระหว่างโจทก์จำเลยมีลักษณะเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความผ่อนผันการชำระค่าเสียหายซึ่งเกิดขึ้นจากการที่จำเลยผิดสัญญาส่งข้าวโพดทำให้โจทก์ต้องไปซื้อข้าวโพดราคาสูงขึ้น แต่ตกลงผ่อนผันกันตามข้อตกลงชำระหนี้ระหว่างคู่กรณีโดยคิดค่าเสียหายจากราคาหาบละ 177บาท ซึ่งคิดคำนวณค่าเสียหายได้เพียง 240,000 บาท และให้ฝ่ายจำเลยผ่อนชำระค่าเสียหายเช่นนี้หนี้ตามสัญญาเดิมจึงระงับและมาบังคับกันตามข้อตกลงยอมชำระหนี้ดังกล่าวนี้ต่อไป การที่จำเลยนำสืบว่าบริษัท ส.คือบริษัทต. และจำเลยมาทำการแทนบริษัท ส. ในการทำข้อตกลงยอมชำระหนี้กับโจทก์เป็นการนำสืบนอกคำให้การ รับฟังไม่ได้ จำเลยเข้าทำข้อตกลงยอมชำระหนี้แก่โจทก์ตามข้อตกลง ชำระหนี้ในนามตนเอง การที่จำเลยอ้างว่าทำแทนบริษัท ส. ซึ่งไม่มีตัวตน จำเลยจึงต้องรับผิดเป็นส่วนตัว และจำเลย ผิดนัดต่อโจทก์โดยไม่ยอมผ่อนชำระหนี้ตามข้อตกลงจึงต้อง รับผิดพร้อมทั้งดอกเบี้ยในระหว่างผิดนัด

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัดจดทะเบียนจัดตั้งขึ้นตามกฎหมายของประเทศสหรัฐอเมริกาเมื่อประมาณปี 2528 จำเลยกล่าวอ้างแก่โจทก์ว่า จำเลยเป็นตัวแทนของบริษัทสหกิจ จำกัด ซึ่งจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลประกอบกิจการรับซื้อเมล็ดพืชไร่ต่าง ๆ ให้โจทก์ติดต่อค้าขายกับจำเลยโดยตรงโจทก์หลงเชื่อจึงได้ติดต่อค้าขายกับจำเลยตลอดมาต่อมาเมื่อเดือนสิงหาคม 2530 โจทก์ตกลงซื้อเมล็ดข้าวโพดจากจำเลยจำนวน 40 คันรถ หรือประมาณ 320 เมตริกตันราคาหาบละ132 บาท กำหนดส่งมอบภายใน 2 สัปดาห์ หากไม่ส่งมอบภายในกำหนดและโจทก์ได้รับความเสียหาย จำเลยยินยอมชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ เมื่อถึงกำหนดจำเลยไม่สามารถส่งมอบเมล็ดข้าวโพดให้แก่โจทก์ และได้บอกเลิกสัญญาแก่โจทก์ โจทก์ต้องไปซื้อเมล็ดข้าวโพดจากพ่อค้ารายอื่นในราคาที่แพงขึ้นอีกหาบละ 48บาท ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย จำเลยยอมชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์เป็นจำนวน 240,000 บาท โดยตกลงผ่อนชำระเป็นรายเดือน จำเลยได้ทำหนังสือสัญญาชำระหนี้ดังกล่าวให้แก่โจทก์แต่จำเลยผิดนัดไม่ชำระ ต่อมาโจทก์สืบทราบว่าบริษัทสหกิจ จำกัดไม่ได้จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลตามกฎหมาย ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 240,000 บาท แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี จากต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่เคยทำสัญญาซื้อขายกับโจทก์ในฐานะส่วนตัว สัญญาซื้อขายตามฟ้องเป็นสัญญาระหว่างบริษัทสหกิจจำกัด กับโจทก์ โจทก์และจำเลยไม่มีนิติสัมพันธ์กัน ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาจะต้องวินิจฉัยตามที่โจทก์ฎีกาว่าโจทก์จำเลยตกลงซื้อขายเมล็ดข้าวโพดต่อกันหรือไม่และจำเลยจะต้องรับผิดต่อโจทก์เพียงใดหรือไม่ ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงแล้วเห็นว่า นายชูศักดิ์และนางสาวสุนันท์พยานโจทก์เบิกความสอดคล้องต้องกันว่า เมื่อผิดสัญญาส่งมอบข้าวโพด 320 ตันแก่โจทก์ จำเลยจึงยอมชำระค่าเสียหายแก่โจทก์ตามข้อตกลงเอกสารหมาย จ.18 ซึ่งระบุชัดว่า เรื่องสัญญาซื้อขายข้าวโพดระหว่างบริษัทสหกิจ จำกัด และบริษัทคอนติเนนตัล โอเวอร์ซีส์ จำกัด (โจทก์) 40 คันรถ หรือประมาณ 320 ตัน ตามที่เรา ได้ตกลงกันเมื่อเช้าวันที่ 20มกราคม 2531 ให้ยกเลิกสัญญาข้างต้น โดยท่านจะจ่ายค่ายกเลิกสัญญาแก่ทางบริษัทฯ จำนวนทั้งสิ้น 240,000 บาท โดยให้คำนวณจากราคาเฉลี่ยในสัญญาที่ตกลงซื้อหาบละ 132 บาท หักออกจากราคาตลาดในปัจจุบันหาบละ 177 จากจำนวนข้าวโพด 320 ตันทั้งนี้ทางบริษัทสหกิจฯ จะจ่ายเงินให้แก่ ทางบริษัทคอนติเนนตัลก่อน 20,000 บาท ในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2531 และหลังจากนั้นจ่ายเดือนละอย่างต่ำ 2,000 บาท ของทุก ๆ วันที่ 1 ของแต่ละเดือนนับแต่วันที่ 1 มีนาคม 2531 เป็นต้นไปในตอนท้ายข้อตกลงมีว่าขอยืนยันตามข้อตกลงข้างต้นนี้ แล้วลงชื่อ อารี ศรีจอมขวัญ(จำเลย) ใต้ชื่อจำเลยมีข้อความว่าบริษัทสหกิจจำกัด และมีข้อความต่อมาว่าขอแสดงความนับถือ บริษัทคอนติเนนตัลโอเวอร์ซีส์จำกัด (โจทก์) แล้วลงชื่อนายคิม ดีเบลอร์ ผู้จัดการ ซึ่งจะเห็นได้ว่าหนังสือตกลงชำระหนี้ฉบับนี้มีลักษณะเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความผ่อนผันการชำระค่าเสียหายซึ่งเกิดขึ้นจากการที่มีการผิดสัญญาส่งข้าวโพด 320 ตัน ซึ่งโจทก์ต้องไปซื้อข้าวโพดราคาสูงขึ้นถึงหาบละ 188 บาท แต่ตกลงผ่อนผันกันตามข้อตกลงชำระหนี้ระหว่างคู่กรณีโดยคิดค่าเสียหายจากราคาหาบละ 177 บาท เท่านั้นซึ่งคิดคำนวณค่าเสียหายได้เพียง240,000 บาท และให้อีกฝ่ายผ่อนชำระค่าเสียหายดังรายละเอียดที่กล่าวมาข้างต้น เช่นนี้ หนี้ตามสัญญาเดิมจึงระงับ และมาบังคับกันตามข้อตกลงยอมชำระหนี้ดังกล่าวนี้ต่อไป มีข้อต้องพิจารณาต่อไปว่า จำเลยนี้จะต้องรับผิดเป็นส่วนตัวหรือเป็นเรื่องบริษัทสหกิจ จำกัด จะต้องรับผิด เห็นว่าจำเลยเองก็เบิกความตอบทนายโจทก์ถามค้านไว้ชัดว่า ก่อนลงลายมือชื่อในข้อตกลงชำระหนี้เอกสารหมาย จ.18 ได้อ่านข้อความทั้งหมดแล้วแม้เมื่อลงชื่อจำเลยแล้วก็ระบุชื่อบริษัทสหกิจ จำกัดไว้ใต้ชื่อจำเลยในทำนองจำเลยลงชื่อในนามบริษัทดังกล่าวและจำเลยเองก็ให้การว่า ทำการแทนบริษัทสหกิจ จำกัด ก็ตามแต่ทางนำสืบของจำเลยก็ไม่มีหนังสือแสดงการมอบอำนาจจากบริษัทดังกล่าวมาแสดงแต่อย่างใด ตรงข้ามฝ่ายโจทก์นำนางกฤษณา นาสิมมานายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทกรุงเทพมหานครมาสืบฟังได้ว่าบริษัทสหกิจ จำกัด เพียงแต่เคยขอจดทะเบียนหนังสือบริคณห์สนธิเพื่อเริ่มก่อตั้งเป็นบริษัทจำกัด ดังเอกสารหมาย จ.1แต่หลังจากนั้นไม่มีการจดทะเบียนเป็นบริษัทจำกัดแต่อย่างใดจนถึงปัจจุบัน และตามหนังสือบริคณห์สนธิดังกล่าวจำเลยมิได้เป็นผู้ริเริ่มก่อการจัดตั้งบริษัท เช่นนี้แสดงว่าจำเลยอ้างว่าทำแทนบริษัทสหกิจ จำกัด ซึ่งไม่มีตัวตน ส่วนการที่จำเลยนำสืบว่า บริษัทสหกิจ จำกัด หมายถึงบริษัทสหกิจตะพานหินจำกัด ซึ่งจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลโดยชอบปรากฏตามหนังสือรับรองเอกสารหมาย ล.1 ซึ่งมีจำเลยเป็นกรรมการผู้มีอำนาจลงชื่อแทนบริษัท โดยลงชื่อประทับตราของบริษัท แต่ตามคำให้การของจำเลยระบุเพียงว่า จำเลยกระทำการแทนบริษัทสหกิจ จำกัดจึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ โดยไม่ได้ระบุเลยว่าบริษัทสหกิจ จำกัดคือบริษัทสหกิจตะพานหิน จำกัด แต่อย่างใด การที่จำเลยนำสืบว่าบริษัทสหกิจ จำกัด คือบริษัทสหกิจตะพานหิน จำกัดจึงหมายความว่าจำเลยมาทำการแทนบริษัทสหกิจตะพานหิน จำกัดในการทำข้อตกลงยอมชำระหนี้กับโจทก์จึงเป็นการนำสืบนอกคำให้การรับฟังไม่ได้ พยานหลักฐานโจทก์จึงมีน้ำหนักว่าพยานจำเลยฟังได้ว่า จำเลยเข้าทำข้อตกลงยอมชำระหนี้แก่โจทก์ตามข้อตกลงชำระหนี้เอกสารหมาย จ.18 ในนามตนเอง การที่จำเลยอ้างว่าทำแทนบริษัทสหกิจ จำกัด ซึ่งไม่มีตัวตน จำเลยจึงต้องรับผิดเป็นส่วนตัว และจำเลยผิดนัดต่อโจทก์โดยไม่ยอมผ่อนชำระหนี้ตามข้อตกลงนับตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2531 เป็นต้นไป จึงต้องรับผิดพร้อมทั้งดอกเบี้ยในระหว่างผิดนัดซึ่งมิได้ตกลงเรื่องอัตราดอกเบี้ยไว้โดยชัดแจ้ง จึงกำหนดให้ร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 224 วรรคหนึ่ง แต่โจทก์เรียกดอกเบี้ยนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไป
พิพากษากลับ ให้จำเลยชำระเงินจำนวน 240,000 บาท แก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ

Share