คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7013/2547

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

ผู้ร้องเป็นเจ้าของรถยนต์ที่ให้เช่าซื้อมิได้รู้เห็นเป็นใจกับ ส. ผู้เช่าซื้อและจำเลยที่ร่วมกันนำรถยนต์ของกลางไปใช้กระทำความผิด การที่ผู้ร้องไม่ได้ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาและไม่ติดต่อตามเอารถยนต์ของกลางที่ให้เช่าซื้อคืน ทั้ง ๆ ที่มีการผิดนัดชำระค่าเช่าซื้อติดต่อกันหลายงวด ก็เป็นเพียงการไม่ถือเอาประโยชน์จากข้อสัญญาที่กำหนดกันไว้ ซึ่งเป็นสิทธิที่ผู้ร้องจะใช้หรือไม่ก็ได้ ยังไม่ถือว่าเป็นการกระทำโดยไม่สุจริตของผู้ร้อง เพราะกฎหมายให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าบุคคลทุกคนกระทำการโดยสุจริต ทั้ง ป.อ. มาตรา 36 บัญญัติไว้ชัดแจ้งว่าหากปรากฏว่าผู้เป็นเจ้าของแท้จริงมิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดก็ให้ศาลสั่งคืนทรัพย์สินแก่เจ้าของ จึงต้องพิจารณาเฉพาะข้อความตามที่กล่าวไว้ใน ป.อ. มาตรา 36 เพราะการแปลความกฎหมายทางอาญาจะต้องแปลโดยเคร่งครัดตามตัวอักษรจะใช้หลักในการสันนิษฐานไม่ได้ จะเพิ่มเติมใจความตามตัวบทเข้ามาไม่ได้ ดังนั้น การที่ผู้ร้องไม่ใช้สิทธิที่กำหนดไว้ในข้อสัญญาตามสัญญาเช่าซื้อ และร้องขอรถยนต์ของกลางคืน จะถือว่าเป็นการกระทำเพื่อประโยชน์แก่ทายาทของ ส. เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต แล้วไม่คืนรถยนต์ของกลางแก่ผู้ร้องหาได้ไม่ เมื่อผู้ร้องเป็นเจ้าของรถยนต์ของกลาง และมิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิด จึงมีสิทธิได้รับคืนรถยนต์ของกลาง

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335 (1) (7) วรรคแรก, วรรคสอง, 336 ทวิ, 83 ริบรถยนต์หมายเลขทะเบียน บต – 5170 เพชรบูรณ์
ผู้ร้องยื่นคำร้องและแก้ไขคำร้องขอให้คืนรถยนต์ของกลางแก่ผู้ร้อง
โจทก์ยื่นคำคัดค้าน ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้คืนรถยนต์ของกลางแก่ผู้ร้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับ ให้ยกคำร้อง
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นว่า ผู้ร้องเป็นเจ้าของรถยนต์หมายเลขทะเบียน บต – 5170 เพชรบูรณ์ ของกลาง เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2540 ผู้ร้องให้นายสุกรรณ กาฬสินธุ์ เช่าซื้อไป ระหว่างผ่อนชำระค่าเช่าซื้อตามสัญญา จำเลยและนายสุกรรณนำรถยนต์ของกลางไปใช้กระทำความผิดคดีนี้ ต่อมาศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาถึงที่สุดให้ริบรถยนต์ของกลาง มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ร้องว่า ผู้ร้องรู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดของจำเลยและนายสุกรรณหรือไม่ ผู้ร้องมีนายประวัติ อิ่มใจ ผู้รับมอบอำนาจผู้ร้องเบิกความว่า ผู้ร้องไม่ทราบว่านายสุกรรณนำรถยนต์ของกลางที่ผู้ร้องให้เช่าซื้อไปใช้กระทำความผิด เมื่อประกอบกับข้อเท็จจริงปรากฏว่า ผู้ร้องมีภูมิลำเนาอยู่ที่เลขที่ 184 ตำบลสะเดียง อำเภอเมืองเพชรบูรณ์ จังหวัดเพชรบูรณ์ ส่วนเหตุกระทำความผิดลักทรัพย์คดีนี้เกิดในเวลากลางคืนที่ตำบลแพรกษา อำเภอเมืองสมุทรปราการ จังหวัดสมุทรปราการ ห่างไกลกันมาก จึงเชื่อได้ว่าผู้ร้องย่อมไม่อาจรู้ว่านายสุกรรณจะร่วมกับจำเลยนำรถยนต์ของกลางไปใช้กระทำความผิด โจทก์เองก็เพียงยื่นคำคัดค้านโต้แย้งว่าผู้ร้องไม่ใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์รถยนต์ของกลาง มิได้คัดค้านโต้แย้งและนำสืบเลยว่าผู้ร้องรู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดคดีนี้ ข้อเท็จจริงจึงต้องรับฟังตามพยานหลักฐานของผู้ร้องว่าผู้ร้องมิได้รู้เห็นเป็นใจกับการกระทำความผิดของจำเลยและนายสุกรรณ การที่ผู้ร้องไม่ได้ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาและไม่ติดตามเอารถยนต์ของกลางที่ให้เช่าซื้อคืน ทั้ง ๆ ที่มีการผิดนัดชำระค่าเช่าซื้อติดต่อกันหลายงวด ก็เป็นเพียงการไม่ถือเอาประโยชน์จากข้อสัญญาที่กำหนดกันไว้ ซึ่งเป็นสิทธิที่ผู้ร้องจะใช้หรือไม่ก็ได้ยังไม่พอที่จะถือว่าเป็นการกระทำโดยไม่สุจริตของผู้ร้อง เพราะกฎหมายให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าบุคคลทุกคนกระทำการโดยสุจริต อีกทั้งประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 36 บัญญัติข้อความชัดแจ้งไว้ว่า หากปรากฏว่าผู้เป็นเจ้าของแท้จริงมิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิด ก็ให้ศาลสั่งคืนทรัพย์สินแก่เจ้าของเช่นนี้ กรณีก็ต้องพิจารณาเฉพาะข้อความตามที่กล่าวในมาตราดังกล่าวเท่านั้น เพราะการแปลความกฎหมายทางอาญาจะต้องแปลโดยเคร่งครัดตามตัวอักษรจะใช้หลักในการสันนิษฐานไม่ได้ จะเพิ่มเติมใจความตามตัวบทเข้ามาไม่ได้ ดังนั้น การที่ผู้ร้องไม่ใช้สิทธิที่กำหนดไว้ในข้อสัญญาตามสัญญาเช่าซื้อและร้องขอรถยนต์ของกลางคืน จะฟังว่าเป็นการกระทำเพื่อประโยชน์แก่ทายาทของนายสุกรรณ เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต แล้วไม่คืนรถยนต์ของกลางแก่ผู้ร้องหาได้ไม่ ในเมื่อผู้ร้องเป็นเจ้าของรถยนต์ของกลางและผู้ร้องมิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดคดีนี้ ผู้ร้องจึงมีสิทธิได้รับคืนรถยนต์ของกลาง คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของผู้ร้องฟังขึ้น”
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีไปตามคำสั่งศาลชั้นต้น

Share