คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7010/2538

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้โจทก์ที่1และที่2ซึ่งได้รับโอนที่ดินจากม.ได้ใช้ทางพิพาทเป็นทางผ่านเข้าออกสู่ทางสาธารณะมาเกินกว่า10ปีอันมีผลทำให้โจทก์ที่1และที่2ในฐานะเป็นเจ้าของที่ดินที่รับโอนมาจากม.ได้ภารจำยอมในการใช้ทางพิพาทผ่านเข้าออกระหว่างที่ดินของโจทก์ที่1และที่2กับทางสาธารณะก็ตามแต่โจทก์ที่1และที่2นำที่ดินแปลงเดิมที่ได้รับโอนมาจากม. ไปแลกเอาที่ดินแปลงใหม่มาจากจำเลยเสียแล้วเมื่อพ.ศ.2528ซึ่งระยะเวลาที่โจทก์ที่1และที่2เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินแปลงใหม่นับถึงวันฟ้องเป็นเวลา6ปีเศษและโจทก์ที่3เข้าเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินดังกล่าวเมื่อพ.ศ.2534นับถึงวันฟ้องเป็นเวลาเพียง1ปีเศษดังนั้นแม้จะฟังว่าโจทก์ที่1ถึงที่3ในฐานะเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินแปลงใหม่ได้ใช้ทางพิพาทผ่านเข้าออกระหว่างที่ดินของตนกับทางสาธารณะตลอดมาถึงวันฟ้องด้วยอำนาจปรปักษ์ก็มีระยะเวลายังไม่ถึง10ปีทางพิพาทจึงยังไม่เป็นทางภารจำยอมแก่ที่ดินแปลงใหม่ เจ้ามรดกที่ดินที่โจทก์ที่4ถึงที่7ได้รับโอนมรดกมาได้ใช้ทางพิพาทเป็นทางผ่านเข้าออกระหว่างที่ดินมรดกกับทางสาธารณะในหมู่บ้านด้วยอำนาจปรปักษ์ต่อเจ้าของทางพิพาทตลอดมาซึ่งเป็นเวลาเกินกว่า10ปีแล้วครั้นโจทก์ที่4ถึงที่7ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินมรดกสืบต่อมาแม้จะใช้ทางพิพาทผ่านเข้าออกระหว่างที่ดินแปลงดังกล่าวกับทางสาธารณะในหมู่บ้านตลอดมาด้วยอำนาจปรปักษ์ต่อจำเลยซึ่งเป็นเจ้าของทางพิพาทมายังไม่ครบ10ปีก็ตามแต่เมื่อนับระยะเวลาที่ก.เจ้ามรดกได้ใช้ทางพิพาทมาก่อนรวมเข้ากับระยะเวลาที่โจทก์ที่4ถึงที่7ผู้รับมรดกได้ใช้ทางพิพาทต่อมาได้ระยะเวลาครบ10ปีแล้วที่ดินของจำเลยซึ่งเป็นภารยทรัพย์ย่อมต้องตกอยู่ในภารจำยอมในการที่โจทก์ที่4ถึงที่7จะใช้ทางพิพาทเพื่อประโยชน์แก่ที่ดินของโจทก์ที่4ถึงที่7ซึ่งเป็นสามยทรัพย์โดยอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1401ประกอบด้วยมาตรา1385

ย่อยาว

โจทก์ทั้งเจ็ดฟ้องว่า โจทก์ที่ 1 ที่ 2 และที่ 3เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ร่วมกันในที่ดินตามโฉนดที่ดินเลขที่ 10533ตำบลท่าวังตาล อำเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่ โจทก์ที่ 4ที่ 5 ที่ 6 และที่ 7 เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ร่วมกันในที่ดินตามโฉนดที่ดินเลขที่ 2460 ตำบลท่าวังตาล อำเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่จำเลยเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินตามโฉนดที่ดินเลขที่ 2473ตำบลท่าวังตาล อำเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่ ที่ดินของโจทก์ทั้งเจ็ดอยู่ในที่ล้อมไม่มีทางออกติดต่อกับถนนสาธารณะในหมู่บ้าน โจทก์ทั้งเจ็ดได้ใช้ที่ดินของจำเลยเป็นเส้นทางผ่านเข้าออกสู่ทางสาธารณะเพื่อทำนาและทำไร่เป็นทางกว้าง 2.70 เมตร ยาว100 เมตร นับถึงปัจจุบันเป็นเวลาเกินกว่า 10 ปีแล้ว โจทก์ทั้งเจ็ดจึงได้สิทธิในทางดังกล่าวเป็นทางภารจำยอมตามกฎหมาย ต่อมาต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2535 จำเลยได้กระทำละเมิดต่อโจทก์ทั้งเจ็ดโดยสร้างรั้วปิดทางเข้าออกของโจทก์ทั้งเจ็ดเป็นแนวยาว100 เมตร เป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ทั้งเจ็ดทำให้โจทก์ทั้งเจ็ดได้รับความเสียหาย ขอให้บังคับจำเลยเปิดทางภารจำยอมบนที่ดินโฉนดเลขที่ 2473 ตำบลท่าวังตาล อำเภอสารภีจังหวัดเชียงใหม่ กว้าง 2.70 เมตร ยาว 100 เมตรและให้จำเลยไปจดทะเบียนทางภารจำยอมภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ศาลพิพากษา หากจำเลยไม่ปฏิบัติให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลเป็นการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยให้การว่า ที่ดินของโจทก์ทั้งเจ็ดไม่ได้อยู่ในที่ล้อมเพราะมีทางออกสู่ทางสาธารณะในหมู่บ้านได้ โจทก์ทั้งเจ็ดใช้เส้นทางผ่านเข้าออกบนที่ดินของโจทก์ทั้งเจ็ดเองและที่ดินของผู้อื่นออกสู่ทางสาธารณะ เพื่อทำนาทำไร่ตลอดมาไม่เคยใช้เส้นทางผ่านตามแผนผังท้ายฟ้องเข้าออกบนที่ดินจำเลยออกสู่ทางสาธารณะเพื่อทำนาและทำไร่ เส้นทางตามแผนผังท้ายฟ้องไม่ใช่ทางภารจำยอม การที่จำเลยสร้างรั้วปิดในที่ดินของจำเลยจึงไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์ทั้งเจ็ด โจทก์ทั้งเจ็ดไม่มีอำนาจฟ้องขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์ทั้งเจ็ดอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษากลับว่า ให้จำเลยเปิดทางภารจำยอม กว้าง 2.70 เมตร ยาว 100 เมตร บนที่ดินโฉนดเลขที่ 2473 ตำบลท่าวังตาล อำเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่ตามฟ้องของโจทก์ ให้จำเลยไปจดทะเบียนภารจำยอมภายใน15 วัน นับแต่วันที่ศาลพิพากษา หากไม่ไปให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นว่าโจทก์ที่ 1 ถึงที่ 3 เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินโฉนดที่ดินเลขที่ 10533 ตามสำเนาโฉนดที่ดินเอกสารหมาย จ.3โจทก์ที่ 4 ถึงที่ 7 เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินโฉนดที่ดินเลขที่ 2460 ตามสำเนาโฉนดที่ดินเอกสารหมาย จ.10 และจำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดที่ดินเลขที่ 2473 ตามสำเนาโฉนดที่ดินเอกสารหมาย จ.4 ที่ดินของโจทก์ทั้งเจ็ดและของจำเลยตั้งอยู่ใกล้เคียงกัน ปรากฏตามแผนผังเอกสารหมาย จ.5 แต่เดิมที่ดินตามสำเนาโฉนดที่ดินเอกสารหมาย จ.3นั้นเป็นของจำเลยต่อมาจำเลยนำไปแลกเปลี่ยนกับที่ดินของโจทก์ที่ 1และที่ 2 กับพวกซึ่งตั้งอยู่ด้านหลังที่ดินของจำเลยตามสำเนาโฉนดที่ดินเอกสารหมาย จ.4 เมื่อจำเลยซื้อที่ดินตามสำเนาโฉนดที่ดินเอกสารหมาย จ.4 มาแล้วเมื่อ พ.ศ. 2514 จำเลยได้กันทางไว้ส่วนหนึ่งให้ชาวบ้านจูงโค กระบือเดินผ่านได้กว้างประมาณ 1 เมตรยาวประมาณ 60 เมตร อยู่ในบริเวณที่โจทก์ฟ้องขอให้เปิดทางภารจำยอมตามเอกสารหมาย จ.5 ต่อมาจำเลยทำรั้วลวดหนามปิดกั้นทางเดินดังกล่าว ปรากฏตามเส้นสีแดงในเอกสารหมาย จ.5 คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า ทางพิพาทที่จำเลยทำรั้วลวดหนามปิดกั้นตามเส้นสีแดงที่ปรากฏในเอกสารหมายจ.5 นั้น เป็นทางภารจำยอมแก่ที่ดินของโจทก์ที่ 1 ถึงที่ 7หรือไม่ สำหรับโจทก์ที่ 1 ถึงที่ 3 มีตัวโจทก์ที่ 1 ถึงที่ 3มาเบิกความเป็นที่ 1 และที่ 2 ซึ่งเป็นบุตร โจทก์ที่ 1 และที่ 2ก็ใช้ทางพิพาทเป็นทางผ่านไปทำนาตลอดมา ภายหลังทราบว่าโจทก์ที่ 1 และที่ 2 นำที่ดินดังกล่าวไปและกับที่ดินตามสำเนาโฉนดที่ดินเอกสารหมาย จ.3 ของจำเลย เห็นว่าแม้โจทก์ที่ 1ถึงที่ 3 จะนำสืบว่าโจทก์ที่ 1 และที่ 2 ซึ่งได้รับโอนที่ดินจากนายเหมยได้ใช้ทางพิพาทเป็นทางผ่านเข้าออกสู่ทางสาธารณะมาเกินกว่า 10 ปี อันมีผลทำให้โจทก์ที่ 1 และที่ 2 ในฐานะเป็นเจ้าของที่ดินที่รับโอนมาจากนายเหมยได้ภารจำยอมในการใช้ทางพิพาทผ่านเข้าออกระหว่างที่ดินของโจทก์ที่ 1 และที่ 2 กับทางสาธารณะก็ตาม แต่ปรากฏข้อเท็จจริงตามทางนำสืบของโจทก์ที่ 1ถึงที่ 3 ว่า โจทก์ที่ 1 และที่ 2 นำที่ดินแปลงเดิมที่ได้รับโอนมาจากนายเหมยไปแลกเอาที่ดินตามสำเนาโฉนดที่ดินเอกสารหมาย จ.3 มาจากจำเลยเสียแล้วเมื่อ พ.ศ. 2528ซึ่งระยะเวลาที่โจทก์ที่ 1 และที่ 2 เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินแปลงใหม่นับถึงวันฟ้องเป็นเวลา 6 ปีเศษ และโจทก์ที่ 3 เข้าเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินดังกล่าวเมื่อพ.ศ. 2534 นับถึงวันฟ้องเป็นเวลาเพียง 1 ปีเศษ ดังนั้นแม้จะฟังว่าโจทก์ที่ 1 ถึงที่ 3 ในฐานะเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินตามสำเนาโฉนดที่ดินเอกสารหมาย จ.3 ได้ใช้ทางพิพาทผ่านเข้าออกระหว่างที่ดินของตนกับทางสาธารณะตลอดมาถึงวันฟ้องด้วยอำนาจปรปักษ์ ก็มีระยะเวลายังไม่ถึง 10 ปี ทางพิพาทจึงยังไม่เป็นทางภารจำยอมแก่ที่ดินตามสำเนาโฉนดที่ดินเอกสารหมาย จ.3 ของโจทก์ที่ 1 ถึงที่ 3 ตามกฎหมายส่วนที่เกี่ยวกับโจทก์ที่ 4 ถึงที่ 7 นั้น ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงฟังได้ว่าทั้งนายปวนและนางแก้วเจ้ามรดกที่ดินที่โจทก์ที่ 4 ถึงที่ 7 ได้รับโอนมรดกมาได้ใช้ทางพิพาทเป็นทางผ่านเจ้าออกระหว่างที่ดินตามสำเนาโฉนดที่ดินเอกสารหมาย จ.10 กับทางสาธารณะในหมู่บ้านด้วยอำนาจปรปักษ์ต่อเจ้าของทางพิพาทตลอดมาซึ่งเป็นเวลาเกินกว่า 10 ปีแล้ว ครั้นโจทก์ที่ 4ถึงที่ 7 ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินตามสำเนาโฉนดที่ดินเอกสารหมายจ.10 สืบต่อมาและใช้ทางพิพาทผ่านเข้าออกระหว่างที่ดินแปลงดังกล่าวกับทางสาธารณะในหมู่บ้านตามแผนผังท้ายฟ้องเอกสารหมาย จ.5ตลอดมาด้วยอำนาจปรปักษ์ต่อจำเลยซึ่งเป็นเจ้าของทางพิพาทมายังไม่ครบ 10 ปีก็ตาม แต่เมื่อนับระยะเวลาซึ่งนางแก้วเจ้ามรดกได้ใช้ทางพิพาทมาก่อนรวมเข้ากับระยะเวลาที่โจทก์ที่ 4 ถึงที่ 7 ผู้รับมรดกได้ใช้ทางพิพาทต่อมาได้ระยะเวลาครบ 10 ปีแล้ว ที่ดินตามสำเนาโฉนดที่ดินเอกสารหมาย จ.4ของจำเลยซึ่งเป็นภารยทรัพย์ย่อมต้องตกอยู่ในภารจำยอมในการที่โจทก์ที่ 4 ถึงที่ 7 จะใช้ทางพิพาทเพื่อประโยชน์แก่ที่ดินตามสำเนาโฉนดที่ดินเอกสารหมาย จ.10 ของโจทก์ที่ 4ถึงที่ 7 ซึ่งเป็นสามยทรัพย์โดยอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1401 ประกอบด้วยมาตรา 1385
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องเฉพาะโจทก์ที่ 1 ถึงที่ 3ให้จำเลยเปิดทางภารจำยอมแก่โจทก์ที่ 4 ถึงที่ 7 ตามขนาดที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 กำหนดไว้ในคำพิพากษา ในที่ดินโฉนดของจำเลยตามที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ระบุไว้ในคำพิพากษา และให้จำเลยจดทะเบียนภารจำยอมเพื่อประโยชน์แก่ที่ดินของโจทก์ที่ 4 ถึงที่ 7 ตามโฉนดที่ 2460 เลขที่ดิน 73หน้าสำรวจ 564 เล่ม 25 ข. หน้า 60 ตำบลท่าวังตาลอำเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่ ตามเงื่อนไขที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2กำหนดไว้ในคำพิพากษา

Share