แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เมื่อศาลเห็นว่าข้อที่คู่ความประสงค์จะนำสืบไม่เป็นประโยชน์ต่อคดี ศาลย่อมมีอำนาจที่จะงดสืบพยานนั้นเสียได้ และเมื่อเห็นว่าพยานหลักฐานเท่าที่มีอยู่พอเพียงจะเชื่อฟังเป็นยุติได้แล้ว ก็พิพากษาคดีนั้นได้ ไม่จำต้องสืบพยานต่อไปตามที่คู่ความขออีก
ศาลชั้นต้นสองถามคู่ความแล้วงดสืบพยานแล้วพิพากษาคดีไป ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาคดีเสียใหม่ โดยยังไม่ไม่วินิจฉัยข้อพิพาทในคดีนั้นเมื่อศาลฎีกาเห็นว่าคดีมีหลักฐานพอที่ศาลฎีกาจะวินิจฉัยได้แล้ว ก็ไม่จำต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยอีก
ย่อยาว
คดีนี้โจทก์ฟ้องขับไล่ จำเลยให้การต่อสู้และฟ้องแย้ง ถึงวันชี้สองสถานคู่ความรับกันบางประการ คงมีประเด็นที่ต่อสู้ถึงชั้นศาลฎีกาตามฟ้องโจทก์ว่า จำเลยได้ทำสัญญาเช่าโกดังของโจทก์เมื่อวันที่ ๑๘ ธันวาคม ๒๔๘๙ มีกำหนด ๑ ปี ครบกำหนดแล้วก็ต่ออายุกันมาครั้งละ ๑ ปี ต่อมาโจทก์ได้บอกเลิกการเช่ากับจำเลย แต่จำเลยไม่ส่งมอบโกดังคืน ส่วนจำเลยต่อสู้ว่าโจทก์จำเลยตกลงจะเช่ากัน ๑๕ ปี จำเลยเซ็นชื่อมอบฉันทะให้พระนนทปัญญาไปทำกรมธรรมเช่าแต่พระนนทปัญญาทำกรมธรรม์เช่าในฐานะเป็นผู้แทนโดยชอบธรรมของโจทก์ และในฐานะตัวแทนจำเลยด้วย ผิดไปจากข้อตกลงและผิดจากที่จำเลยได้มอบหมายให้ทำแทน โดยไม่ได้ทำกรมธรรม์เช่าที่ดินครองถึงเนื้อที่โกดังด้วย การบอกเลิกสัญญาเช่าไม่ชอบ เพราะบอกมาในนามของพระนนทปัญญาไม่ใช่โจทก์และตัดฟ้องว่าโจทก์ฟ้องซ้ำ ฟ้องแย้งขอให้บังคับโจทก์ทำกรมธรรม์เช่าโกดังรายนี้ตามข้อตกลง โจทก์แก้ฟ้องแย้งว่า จำเลยจะสืบแก้ไขเปลี่ยนแปลงเอกสารไม่ได้ และแถลงต่อศาลว่าไม่มีข้อที่จะนำสืบ ส่วนจำเลยจะขอนำส้บตามข้อต่อสู้และฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีไม่จำเป็นต้องสืบพยานต่อไปพิพากษาขับไล่จำเลยและให้จำเลยมอบคืนโกดัง ฯลฯ
จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้สืบพยาน แล้วพิพากษาใหม่
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่าจำเลยจะสืบข้อตกลงเพิ่มเรื่องเช่ากัน ๑๕ ปี มาใช้ประโยชน์ไม่ได้ เพราะจำเลยรับแล้วว่าได้ทำสัญญาเช่าโกดังกับโจทก์หมายเลข ๓ ซึ่งมีข้อกำหนดเช่าต่อกัน ๑ ปี แม้จะได้มีข้อตกลงดังจำเลยอ้างจริงก็ยังไม่ได้จดทะเบียนกัน แล้วภายหลังจำเลยก็ยอมต่อสัญญาเช่าใหม่เป็นรายปีกับโจทก์ ส่วนการบอกเลิกนั้นตามเอกสารหมายเลข ๕ ซึ่งจำเลยรับว่าถูกต้องแล้ว ปรากฎว่าเป็นการบอกเลิกในนามของผู้ให้เช่าข้อตัดฟ้องซ้ำกับคดีของศาลแขวงพระนครได้คดีแพ่งคำที่ ๒๑๙/๒๔๙๔ นั้นเห็นว่า คดีนั้นเป็นเรื่องโจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนสัญญาเช่าอีกฉบับหนึ่งที่จดทะเบียนกันแล้วส่วนการที่จำเลยคัดค้านว่าศาลชั้นต้นไม่มีอำนาจงดสืบพยานนั้น เห็นว่า ป.วิ.แพ่ง มาตรา ๑๐๔ ให้อำนาจศาลเต็มที่ว่าถ้าหากศาลเห็นว่าพยานหลักฐานเท่าที่มีอยู่เพียงพอแล้วก็พิพากษาคดีได้ ไม่ต้องสืบพยานต่อไป อนึ่งที่จำเลยขอว่าหากศาลฎีกาเห็นว่าไม่จำเป็นต้องสืบพยานดังความเห็นศาลชั้นต้น ก็ขอให้ย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยใหม่นั้น ศาลฎีกาเห็นว่าคดีมีหลักฐานปรากฎพอที่ศาลฎีกาจะวินิจฉัยได้แล้วจึงไม่จำเป็นต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยอีก พิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ยืนตามศาลชั้นต้น