คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 668/2511

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องเรียกหนี้เงินกู้ยืมตามสัญญาจากจำเลย. จำเลยมิได้ให้การต่อสู้ว่า หนี้ยังไม่ถึงกำหนดเวลาชำระตามสัญญา. โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง. ดังนี้จำเลยจะยกปัญหาข้อนี้ขึ้นฎีกาไม่ได้. เพราะจำเลยมิได้ยกเป็นข้อต่อสู้ในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์. ทั้งไม่เป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน (อ้างฎีกาที่ 1490/2498).

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองได้ร่วมกันกู้เงินโจทก์และผิดนัดไม่ชำระหนี้ ขอให้บังคับ จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การ จำเลยที่ 2 ต่อสู้ว่า ไม่เคยกู้เงินโจทก์ ลายมือชื่อในสัญญากู้หากเป็นลายมือชื่อจำเลยที่ 2 จริง ก็เกิดโดยการทุจริตของจำเลยที่ 1กับโจทก์สมคบกันหลอกลวงให้จำเลยที่ 2 ลงชื่อ จำเลยที่ 2 ได้กระทำโดยปราศจากความรู้สึกผิดชอบ เพราะเป็นใบ้มาแต่กำเนิดซึ่งโจทก์ทราบดี และศาลจังหวัดนนทบุรีได้มีคำสั่งว่าจำเลยที่ 2 เป็นบุคคลเสมือนไร้ความสามารถ นิติกรรมจึงเป็นโมฆียะ ขอให้ยกฟ้อง ศาลชั้นต้นฟังว่า จำเลยที่ 2 ยังมีสติรู้จักผิดชอบ และได้ร่วมกับจำเลยที่ 1 กู้เงินโจทก์ไปจริง พิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระหนี้ จำเลยที่ 2 อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยที่ 2 ฎีกา ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงเช่นเดียวกับศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์คงมีปัญหาข้อกฎหมายตามฎีกาของจำเลยที่ 2 ว่า หนี้เงินกู้รายที่โจทก์ฟ้องยังไม่ถึงกำหนดชำระ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องเรียกเงินตามสัญญากู้โดยอ้างว่าจำเลยที่ 2 ผิดสัญญา ไม่ชำระต้นเงินและดอกเบี้ยให้โจทก์ภายในกำหนดวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2507 จำเลยที่ 2 ยื่นคำให้การต่อสู้คดีว่า ไม่เคยกู้เงินและรับเงินจากโจทก์ และปฏิเสธลายเซ็นชื่อในสัญญากู้ หากเป็นลายเซ็นของจำเลยที่ 2 จริง ก็เกิดจากการทุจริตของจำเลยที่ 1 กับโจทก์สมคบกันหลอกลวงให้จำเลยที่ 2 ลงชื่อนอกจากนั้นก็ต่อสู้ว่า จำเลยที่ 2 เป็นใบ้ มีร่างกายไม่สมประกอบปราศจากความรู้สึกผิดชอบ จำเลยที่ 2 มิได้ให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะหนี้รายนี้ยังไม่ถึงกำหนดเวลาชำระตามสัญญาแต่ประการใดเลย เมื่อจำเลยที่ 2 มิได้ตั้งประเด็นยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ไว้ในคำให้การ และไม่เป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน จึงไม่มีประเด็นที่ศาลฎีกาจะยกขึ้นวินิจฉัย ตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ 1490/2498 พิพากษายืน.

Share