แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ทำร้ายกันในขณะทำการวิวาทยังไม่ขาดตอน ต้องถือว่าเป็นการกระทำต่อเนื่องกัน กรณีย์วิวาทกัน ผู้ที่วิวาทกันไม่ใช่ผู้เสียหาย จึงเป็นโจทก์ฟ้องไม่ได้
ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุกจำเลยตาม ก.ม.ลักษณะอาญา ม.244,60, ให้จำคุก 10 ปี ลดตามมาตรา 59 เสีย 1 ใน 3 คงจำคุก 6 ปี 8 เดือน เมื่อศาลอุทธรณ์ฟังว่าจำเลยทำผิดโดยถูกยั่วโทษะ จึงแก้ให้ลดโทษตามม.55 กึ่งหนึ่ง เช่นนี้เป็นการแก้มาก คู่ความย่อมฎีกา เช่นนี้เป็นการแก้มาก คู่ความย่อมฎีกาในข้อเท็จจริงได้
คดีที่ศาลพิจารณารวมกัน มีอุทธรณ์ขึ้นมาฉะเพาะคดีเดี่ยว คู่ความในคดีที่ไม่ได้อุทธรณ์จะมาฎีกาในชั้นฎีกาไม่ได้ เพราะคดีนั้นถึ่งที่สุดแล้ว
คดีที่มีการพิจารณารวมกัน ศาลลงโทษบทหนักตามฟ้องคดีหนึ่งมีอุทธรณ์ฎีกาขึ้นมาฉะเพาะคดีทีศาลลงโทษบทหนักนี้ คดีที่ไม่มีอุทธรณ์ฎีกาก็เป็นอันยุติ เมื่อศาลเห็นว่าจำเลยไม่มีความผิดในคดีที่ฎีกาขึ้นมา ศาลก็พิพากษายกฟ้อง ปล่อยจำเลยไป
ย่อยาว
คดีสองสำนวนนี้ สำนวนแรกนายตี๋หรือตี๊เป็นโจทก์ฟ้องนายแก้วนายเอนกเป็นจำเลยหาว่าจำเลยทั้งสองสมคบกันใช้ปืนยิงนายตี๋บาดเจ็บสาหัสโดยเจตนา แต่มีเหตุสุดวิสัยมาขัดขวางเสีย นายตี๋จึงไม่ตาย ขอให้ลงโทษตามกฎหมายลักษณะอาญา ม.๒๔๙,๖๐,๖๓,๖๕ และขอให้ลงโทษจำเลยที่ ๒ ตามมาตรา ๒๕๔,๓๓๘(๓) ด้วย
นายแก้วจำเลยที่ ๑ ต่อสู้ว่าป้อนกันตัว
นายเอนกจำเลยที่ ๒ ปฏิเสธ
สำนวนที่ ๒ พนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้องภายหลังศาลประทับฟ้องของโจทก์ สำนวนแรกกล่าวว่านายปรีชาจำเลยที่ ๑ นายตี๋จำเลยที่ ๒ วิวาททำร้ายร่างกายซึ่งกันและกันมีบาดเจ็บ ขอให้ลงโทษตามกฎหมายลักษณะอาญา ม.๒๕๔
นายตี๋จำเลยที่ ๒ ปฏิเสธต่อสู้ว่าได้ถูกนายปรีชายิงเอาฝ่ายเดียว
นายปรีชาจำเลยที่ ๑ ชั้นแรกให้การปฏิเสธ แต่ภายหลังกลับให้การรับสารภาพว่าได้กระทำผิดจริงดังฟ้องโจทก์
ศาลชั้นต้นแยกทำการพิจารณาแต่ละสำนวน เมื่อเสร็จการพิจารณาแล้วได้ทำการคำพิพากษารวมกันทั้งสองสำนวน ฟังข้อเท็จจริงว่า นายแก้วนายตี๋วิวาทกันและการที่นายแก้วใช้ปืนยิงนายตี๋ อันเกิดจากการวิวาท จะอ้างว่าทำการป้องกันตัวไม่ได้ พิพากษาว่านายแก้วจำเลยมีความผิดตามฟ้องทั้งสองสำนวนตามกฎหมายลักษณะอาญา ม.๒๔๙,๖๐,๑๕๔,๓๓๘(๑) และมาตรา ๒๕๔ ส่วนนายตี๋มีความผิดตาม ม.๒๕๔ (สำนวนที่ ๒) ให้วางโทษนายแก้วจำเลยรวมกันไป คือวางบทหนักตามมาตรา ๒๔๗ และ ๖๐ บทเดียวให้จำคุก ๑๐ ปี ลดโทษปราณีตาม ๕๙ ให้ ๑ ใน ๓ จงจำคุกไว้ ๖ ปี ๘ เดือนให้จำคุกนายตี๋จำเลย ๑ เดือนปรับ ๒๐๐ บาท ยกโทษจำคุกให้นายตี๋ตามมาตรา ๔๐ คงปรับสถานเดียว และริบปืนของกลาง ส่วนนายเอนกจำเลยไม่ได้ความว่าสมคบกับนายแก้วกระทำผิด ให้ยกฟ้องนายตี๋โจทก์ปล่อยนายเอนกจำเลย
นายแก้วจำเลยสำนวนแรกสำนวนเดียวอุทธรณ์ต่อมา นอกนั้นไม่มีฝ่ายใดอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้ลดโทษนายแก้วตามมาตรา ๕๕ ให้กึ่งหนึ่งและลดปราณีให้อีก ๑ ใน ๓ คงจำคุกนายแก้วจำเลย ๓ ปี ๔ เดือน แต่คำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ได้ทำเป็นคำพิพากษารวมกันทั้งสองสำนวนในคำพิพากษาฉบับเดียวกัน
นายแก้วจำเลยฎีกาทั้งสองสำนวน
นายตี๋โจทก์ฎีกา ในข้อเท็จจริงว่า ศาลอุทธรณ์ลดโทษฐานยั่วโทษะตามมาตรา ๕๕ ให้จำเลยกึ่งหนึ่งนั้น เป็นการแก้มาก โจทก์ฎีกาในข้อเท็จจริงได้ ขอให้ลงโทษจำเลยตามศาลชั้นต้น
ศาลฎีกาเห็นว่า ตามที่นายตี๋โจทก์และนายแก้วจำเลยฎีกาในสำนวนที่ ๒ ซึ่งตนต่างถูกพนักงานอัยการเป็นโจทก์นั้นฎีกาไม่ได้เพราะคดีนี้ถึงที่สุดแล้ว โดยไม่มีฝ่ายอุทธรณ์ขึ้นมาเลย
ส่วนฎีกาของนายแก้วจำเลยและนายตี๋โจทก์ในสำนวนแรกนั้นเห็นว่า นายแก้วมีความผิดตามกฎหมายลักษณะอาญามาตรา ๒๔๙ ,๖๐ ให้ลงโทษจำคุก ๑๐ ปี ลดโทษตามมาตรา ๕๙ เสีย ๑ ใน ๓ ค
งจำคุก ๖ ปี ๘ เดือน แต่ศาลอุทธรณ์ฟังว่า จำเลยทำผิดโดยถูกยั่วโทษะด้วย จึงแก้ให้ลดโทษให้จำเลยตามมาตรา ๕๕ กึ่งหนึ่ง คงเหลือจำคุกจำเลย ๓ ปี ๘ เดือน เช่นนี้เป็นการแก้มาก คู่ความย่อมฎีกาในข้อเท็จจริงได้ และฟังว่าจำเลยทั้งสองได้วิวาทกันและนายแกว้จำเลยใช้ปืนพกยิงนายตี๋ ๒ นัดในเวลากระชั้นชิด ขณะการวิวาทต่อสู้ยังไม่ขาดตอนจากกัน เมื่อนายแก้วจำเลยใช้ปืนยิงโจทก์เนื่องในการที่โจทก์จำเลยวิวาทกันนี้ ตามข้อกฎหมายโจทก์จึงไม่ใช่ผู้เสียหาย ตามที่จำเลยฎีกาโต้เถียงขึ้นมา โจทก์จึงไม่มีอำนาจเป็นโจทก์ฟ้อง ขอให้ลงโทษจำเลยได้
พิพากษากลับให้ยกฟ้องของนายตี๋โจทก์ และยกฎีกาโจทก์เสียด้วย