คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7001/2544

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยได้ใช้บัตรเครดิตปลอมไปซื้อสินค้าและบริการต่าง ๆจากร้านค้าสมาชิกผู้รับบัตรเครดิตรวม 82 ครั้ง ผลการใช้บัตรเครดิตปลอมของจำเลยเป็นเหตุให้ธนาคาร น. ต้องจ่ายเงินตามใบบันทึกการขายซึ่งเป็นหลักฐานอันเกิดจากบัตรเครดิตปลอมให้แก่ร้านค้าสมาชิกผู้รับบัตรเครดิต ธนาคาร น. จึงเป็นผู้เสียหายโดยตรงจากการใช้บัตรเครดิตปลอมของจำเลย มีอำนาจร้องทุกข์คดีนี้ได้
การหักวันต้องขังของศาลชั้นต้นเป็นปัญหาในชั้นบังคับคดีการที่จำเลยฎีกาในเรื่องดังกล่าวจึงมิใช่เป็นการฎีกาโต้แย้งคัดค้านคำพิพากษาของศาลล่างทั้งสองว่าพิพากษาคดีไม่ถูกต้องแต่ประการใดเป็นเรื่องที่จำเลยต้องดำเนินการให้เป็นไปตามลำดับชั้นศาล ซึ่งหากจำเลยเห็นว่าศาลชั้นต้นออกหมายจำคุกหักวันต้องขังคลาดเคลื่อนจากข้อเท็จจริง จำเลยชอบที่จะยื่นคำร้องคัดค้านโดยขอให้ศาลชั้นต้นดำเนินการแก้ไขให้ถูกต้องเสียก่อน หากศาลชั้นต้นมีคำสั่งเป็นประการใดแล้ว จำเลยจึงจะใช้สิทธิอุทธรณ์ฎีกาได้เป็นลำดับ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้อง ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 188, 264, 265, 268, 341, 342, 33, 91คืนบัตรเครดิตของกลางให้แก่ผู้เสียหาย ริบใบบันทึกการขาย (เซลสลิป)131 รายการ และใบขอสมัครเป็นสมาชิก บัตรเครดิตขวัญนคร จำนวน2 ฉบับ ของกลาง ให้จำเลยใช้เงินจำนวน 130,885.24 บาท แก่ผู้เสียหาย

จำเลยให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 188, 264 วรรคแรก, 265 ซึ่งเป็นความผิดกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทให้ลงโทษตามมาตรา 265 ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดกระทงหนึ่งกับมีความผิดตามมาตรา 268 วรรคแรก, 341 ซึ่งเป็นความผิดกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามมาตรา 268 ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดอีกกระทงหนึ่ง แต่คงลงโทษฐานใช้เอกสารสิทธิปลอมได้เพียงกระทงเดียวตามมาตรา 268 วรรคสอง จำเลยกระทำผิดฐานใช้เอกสารสิทธิปลอม 82 ครั้งจึงต้องรับโทษรวม 82 กรรม ให้เรียงกระทงลงโทษจำคุกกระทงละ 1 ปีรวมเป็นจำคุก 82 ปี คำให้การในชั้นสอบสวนและในชั้นพิจารณาของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา จำเลยได้ชดใช้ค่าเสียหายให้บางส่วนเป็นเงิน10,000 บาท มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 41 ปี แต่ความผิดฐานใช้เอกสารสิทธิปลอมต้องระวางโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 265 ซึ่งเป็นความผิดกระทงที่หนักที่สุดมีอัตราโทษจำคุกอย่างสูงไม่เกิน 10 ปี ซึ่งศาลมีอำนาจลงโทษจำคุกรวมทุกกระทงได้ไม่เกินกำหนดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91(2) จึงให้ลงโทษจำคุกจำเลยรวมทั้งสิ้น 20 ปี คืนบัตรเครดิตของกลางให้แก่เจ้าของ ส่วนของกลางอื่นให้ริบ ให้จำเลยคืนหรือใช้เงินส่วนที่เหลือจำนวน 83,706.75 บาท แก่ผู้เสียหาย คำขออื่นให้ยก

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาจำเลยเฉพาะข้อกฎหมาย

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่าจำเลยได้นำเอาเอกสารและหลักฐานต่าง ๆ ของนายสมคิด พุ่มแก้ว ไปเพื่อขอสมัครเป็นสมาชิกบัตรเครดิตขวัญนคร ของธนาคารนครหลวงไทย จำกัดผู้เสียหาย โดยจำเลยลงลายมือชื่อปลอมว่าเป็นนายสมคิดในใบขอสมัครเป็นสมาชิกบัตรเครดิตในนามนายสมคิด พุ่มแก้ว ธนาคารนครหลวงไทย จำกัด ผู้เสียหายได้ออกบัตรเครดิตขวัญนครให้แก่จำเลย แล้วจำเลยลงลายมือชื่อปลอมนายสมคิดลงในบัตรเครดิตที่ธนาคารนครหลวงไทย จำกัด ผู้เสียหายออกให้ในนามนายสมคิด พุ่มแก้ว และจำเลยนำบัตรเครดิตในนามนายสมคิดที่จำเลยลงลายมือชื่อปลอมไว้ ซึ่งเป็นบัตรเครดิตปลอมไปซื้อสินค้าและบริการจากร้านค้ารวม 82 ครั้ง รวมเป็นเงิน 93,706.75 บาท ธนาคารนครหลวงไทยจำกัด ผู้เสียหายได้จ่ายเงินจำนวนดังกล่าวให้แก่ร้านค้าผู้รับบัตรเครดิตไปแล้ว แต่จำเลยได้ชดใช้ให้ผู้เสียหายไปแล้ว 10,000 บาท คงเสียหาย83,706.75 บาท ปัญหาข้อกฎหมายที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการแรกมีว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ ซึ่งปัญหาดังกล่าวจำเลยฎีกาว่าโจทก์ฟ้องกล่าวหาว่า ธนาคารนครหลวงไทย จำกัด ได้ออกบัตรเครดิตขวัญนครหมายเลข 0015 0151 1121 5001 ให้แก่นายสมคิด พุ่มแก้วโดยหลงเชื่อตามใบขอสมัครเป็นสมาชิกบัตรเครดิตของนายสมคิด พุ่มแก้วที่จำเลยกระทำปลอมขึ้น ฉะนั้น บัตรเครดิตดังกล่าวจึงเป็นบัตรเครดิตที่แท้จริงและออกโดยธนาคารนครหลวงไทย จำกัด แต่โจทก์ได้บรรยายฟ้องต่อไปว่า จำเลยได้บังอาจปลอมบัตรเครดิตขวัญนครหมายเลขดังกล่าวฟ้องโจทก์ส่วนนี้จึงเคลือบคลุม อาจทำให้เข้าใจได้ว่าจำเลยได้ทำบัตรเครดิตขวัญนครปลอมเพิ่มขึ้นอีกฉบับหนึ่งนั้น เห็นว่า โจทก์บรรยายฟ้องว่าภายหลังที่จำเลยได้กระทำความผิดในฟ้องข้อ 1.2 แล้ว จำเลยได้บังอาจปลอมบัตรเครดิตขวัญนครหมายเลข 0015 0151 1121 5001 ซึ่งเป็นเอกสารสิทธิของธนาคารนครหลวงไทย จำกัด ซึ่งออกในนามของนายสมคิดพุ่มแก้ว โดยหลงเชื่อใบขอสมัครเป็นสมาชิกบัตรเครดิตที่จำเลยทำปลอมขึ้นดังกล่าวในฟ้องข้อ 1.2 โดยเอกสารดังกล่าวก่อให้ผู้มีชื่อในบัตรเครดิตดังกล่าวเกิดสิทธิในการนำบัตรเครดิตดังกล่าวไปใช้แสดงเพื่อซื้อสินค้าและบริการจากร้านค้าสมาชิกผู้รับบัตรโดยยังไม่ต้องชำระค่าสินค้าและบริการด้วยเงินสด ทั้งนี้โดยจำเลยได้นำบัตรเครดิตดังกล่าวมาลงลายมือชื่อปลอมของนายสมคิด พุ่มแก้ว ผู้มีชื่อในบัตรเครดิตดังกล่าวในช่องลายมือผู้ถือบัตรที่ด้านหลังของบัตรเครดิตดังกล่าวโดยทุจริตเพื่อให้ผู้หนึ่งผู้ใดที่พบเห็นหลงเชื่อว่าบัตรเครดิตดังกล่าวเป็นเอกสารที่แท้จริงที่ลงลายมือชื่อโดยนายสมคิด พุ่มแก้ว ผู้มีชื่อในบัตรดังกล่าว ทั้งนี้โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่นายสมคิด พุ่มแก้ว ธนาคารนครหลวงไทยจำกัด ผู้อื่นและประชาชน เป็นการบรรยายฟ้องว่าภายหลังจากจำเลยได้กระทำความผิดปลอมใบขอสมัครเป็นสมาชิกบัตรเครดิตของนายสมคิดพุ่มแก้ว จนได้รับบัตรเครดิตจากธนาคารนครหลวงไทย จำกัด แล้วจำเลยได้กระทำความผิดต่อไปอีกโดยการลงลายมือชื่อปลอมของนายสมคิด พุ่มแก้ว ด้านหลังบัตรเครดิตที่ธนาคารนครหลวงไทย จำกัด ออกให้แก่นายสมคิด พุ่มแก้วเป็นเหตุให้บัตรเครดิตดังกล่าวมีลายมือชื่อปลอมของผู้ถือบัตรกลายเป็นบัตรเครดิตปลอม คำฟ้องโจทก์จึงไม่ทำให้เข้าใจได้ว่าจำเลยได้ทำบัตรเครดิตปลอมเพิ่มขึ้นอีกใบดังที่จำเลยฎีกา ฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุมคำพิพากษาศาลฎีกาที่จำเลยอ้างมาในฎีกาของจำเลยนั้น ข้อเท็จจริงไม่ตรงกับคดีนี้ ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น

ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการต่อไปมีว่า ธนาคารนครหลวงไทย จำกัด เป็นผู้เสียหายคดีนี้หรือไม่ ปัญหาดังกล่าวจำเลยฎีกาเป็นทำนองว่า จำเลยใช้บัตรเครดิตปลอมไปซื้อสินค้าและบริการจากร้านค้าจึงเป็นการกระทำความผิดต่อร้านค้า ส่วนธนาคารนครหลวงไทย จำกัดแม้จะเป็นผู้จ่ายเงินก็เป็นการละเมิดทางแพ่งเท่านั้น ไม่ได้กระทำความผิดอาญาต่อธนาคารนครหลวงไทย จำกัด นั้น เห็นว่าจำเลยได้ใช้บัตรเครดิตปลอมไปซื้อสินค้าและบริการต่าง ๆ จากร้านค้าสมาชิกผู้รับบัตรเครดิตรวม 82 ครั้ง ผลการใช้บัตรเครดิตปลอมของจำเลยเป็นเหตุให้ธนาคารนครหลวงไทย จำกัด ต้องจ่ายเงินตามใบบันทึกการขายซึ่งเป็นหลักฐานอันเกิดจากบัตรเครดิตปลอมให้แก่ร้านค้าสมาชิกผู้รับบัตรเครดิตธนาคารนครหลวงไทย จำกัด จึงเป็นผู้เสียหายโดยตรงจากการใช้บัตรเครดิตปลอมของจำเลย ธนาคารนครหลวงไทย จำกัด จึงเป็นผู้เสียหายที่มีอำนาจร้องทุกข์คดีนี้ได้ คำพิพากษาศาลฎีกาที่จำเลยอ้างมาในฎีกาของจำเลยนั้น ข้อเท็จจริงไม่ตรงกับคดีนี้ ฎีกาของจำเลยข้อนี้จึงฟังไม่ขึ้น

ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการสุดท้ายมีว่าจำเลยจะอุทธรณ์ปัญหาการหักวันต้องขังตามหมายจำคุกระหว่างอุทธรณ์ฎีกาของศาลชั้นต้นพร้อมกับอุทธรณ์โต้แย้งคำพิพากษาศาลชั้นต้นได้หรือไม่เห็นว่า การหักวันต้องขังของศาลชั้นต้นเป็นปัญหาในชั้นบังคับคดี ฎีกาของจำเลยจึงมิใช่เป็นการฎีกาโต้แย้งคัดค้านคำพิพากษาของศาลล่างทั้งสองว่าพิพากษาคดีไม่ถูกต้องแต่ประการใด จึงเป็นเรื่องที่จำเลยต้องดำเนินการให้เป็นไปตามลำดับชั้นศาล ซึ่งหากจำเลยเห็นว่าศาลชั้นต้นออกหมายจำคุกหักวันต้องขังคลาดเคลื่อนจากข้อเท็จจริง จำเลยชอบที่จะยื่นคำร้องคัดค้านโดยขอให้ศาลชั้นต้นดำเนินการแก้ไขให้ถูกต้องเสียก่อน หากศาลชั้นต้นมีคำสั่งเป็นประการใดแล้ว จำเลยจึงจะใช้สิทธิอุทธรณ์ฎีกาได้เป็นลำดับต่อมา การที่จำเลยยกปัญหาดังกล่าวขึ้นมาฎีกาและศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของจำเลยข้อนี้มานั้นเป็นการไม่ชอบศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้”

พิพากษายืน

Share