คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7/2533

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดินพิพาท ซึ่งในขณะยื่นฟ้องอาจให้เช่าได้ค่าเช่าไม่เกินเดือนละห้าพันบาท และจำเลยมิได้กล่าวแก้เป็นข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์ เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้ยกฟ้องโจทก์โดยฟังว่าที่พิพาทเป็นของ ท. ให้จำเลยเข้าปลูกบ้าน โจทก์ฎีกาว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์เป็นฎีกาในข้อเท็จจริง จึงต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 248.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ทั้งสามมีสิทธิครอบครองในที่ดิน 1 แปลงจำเลยทั้งสองได้ร่วมกันบุกรุกเข้าไปปลูกบ้านในที่ดินดังกล่าวของโจทก์ และนำบริวารเข้ามาอยู่อาศัย ทำให้โจทก์เสียหาย ขอให้ศาลพิพากษาว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ทั้งสามขับไล่จำเลย ให้จำเลยชำระค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 500 บาท นับแต่วันที่จำเลยบุกรุก
จำเลยทั้งสองให้การว่า ที่ดินพิพาทเป็นของนางทองใส บัวจันทร์มารดาของจำเลยที่ 1 นางทองใสอนุญาตให้จำเลยทั้งสองปลูกบ้านอยู่อาศัย
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์ทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ทั้งสามฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีนี้โจทก์ทั้งสามฟ้องขับไล่จำเลยทั้งสองออกจากที่ดินพิพาท ซึ่งในขณะยื่นฟ้องอาจให้เช่าได้ค่าเช่าไม่เกินเดือนละห้าพันบาท และจำเลยมิได้กล่าวแก้เป็นข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้ยกฟ้องโจทก์ จึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 และคดีปรากฏว่าศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้องโจทก์โดยฟังข้อเท็จจริงต้องกันว่าที่ดินแปลงพิพาททั้งแปลงเป็นของนายทาแล้วนายทาได้แบ่งแยกยกให้โจทก์ที่ 1 ที่ 2 และนางทองใสกับนายพัด จำเลยทั้งสองเข้าไปปลูกบ้านในที่ดินพิพาทส่วนที่นายทาแบ่งแยกยกให้เป็นของนางทองใสโดยได้รับอนุญาตจากนางทองใสที่ดินพิพาทตรงที่จำเลยทั้งสองปลูกบ้านมิใช่ที่ดินของโจทก์ทั้งสาม ดังนั้นที่โจทก์ทั้งสามฎีกาว่าที่ดินพิพาทเดิมเป็นของนางเติ่ง นางเติ่งได้ยกที่ดินพิพาทให้โจทก์ทั้งสามเมื่อประมาณ 30 ปีมาแล้ว โจทก์ทั้งสามได้ครอบครองทำประโยชน์มาจนถึงปัจจุบัน จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามบทกฎหมายดังกล่าวข้างต้น…”
พิพากษายกฎีกาของโจทก์ทั้งสาม คืนค่าธรรมเนียมศาลชั้นฎีกาทั้งหมดให้โจทก์ทั้งสาม ค่าทนายความเป็นพับ.

Share