แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ผู้เสียหายเป็นฝ่ายก่อเหตุขึ้นก่อนด้วยการด่าและท้าทายจำเลยให้มาต่อสู้กันและเข้ามากระชากคอเสื้อจำเลยย่อมเป็นเหตุให้จำเลยสามารถกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดเพื่อป้องกันตัวได้แต่จะต้องเป็นการกระทำที่พอสมควรแก่เหตุด้วย ผู้เสียหายเพียงแต่ดึงคอเสื้อจำเลยเท่านั้นไม่ได้ลงมือทำร้ายจำเลยตลอดจนผู้เสียหายไม่มีอาวุธติดตัวการที่จำเลยใช้มีดปาดตาลขนาดยาวทั้งตัวมีดและด้ามประมาณ1ฟุตใบมีดกว้างประมาณ4นิ้วซึ่งเป็นมีดขนาดใหญ่แทงผู้เสียหายที่บริเวณไหปลาร้าขวาราวนมขวาราวนมซ้ายและชายโครงซ้ายซึ่งเป็นอวัยวะสำคัญและบริเวณส่วนอื่นของร่างกายรวม9แห่งซึ่งเป็นบาดแผลที่เป็นอันตรายถึงชีวิตได้จึงเป็นการกระทำที่เกินสมควรแก่เหตุการกระทำของจำเลยไม่เป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 80
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288, 80 ประกอบด้วยมาตรา 72 ให้จำคุก 5 ปี
จำเลย อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 80 ประกอบมาตา 68, 69 จำคุก1 ปี 6 เดือน ลงโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78คงจำคุก 1 ปี
จำเลย ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการแรกว่า การกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า แม้ผู้เสียหายจะเป็นฝ่ายก่อเหตุขึ้นก่อนด้วยการด่าจำเลย ท้าทายจำเลยให้มาต่อสู้กันและเข้ามากระชากคอเสื้อจำเลย อันเป็นเหตุให้จำเลยสามารถกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดเพื่อป้องกันตัวได้ก็ตาม แต่การกระทำเพื่อป้องกันตัวของจำเลยดังกล่าว จะต้องเป็นการกระทำที่พอสมควรแก่เหตุด้วย ดังนั้น เมื่อปรากฏว่า ผู้เสียหายเพียงแต่ดึงคอเสื้อจำเลยเท่านั้นไม่ได้ลงมือทำร้ายจำเลยตลอดจนผู้เสียหายไม่มีอาวุธติดตัวเช่นนี้ การที่จำเลยใช้มีดปาดตาลขนาดยาวทั้งตัวมีดและด้ามประมาณ 1 ฟุต ใบมีดกว้างประมาณ 4 นิ้ว ซึ่งเป็นมีดขนาดใหญ่แทงผู้เสียหายที่บริเวณไหปลาร้าขวา ราวนมขวาราวนมซ้ายและชายโครงซ้ายซึ่งเป็นอวัยวะสำคัญและบริเวณส่วนอื่นของร่างกายรวม 9 แห่ง ซึ่งแพทย์ผู้ทำการตรวจรักษาเบิกความว่าเป็นบาดแผลที่เป็นอันตรายถึงชีวิตได้ จึงเป็นการกระทำที่เกินสมควรแก่เหตุที่จำเลยฎีกาว่าจำเลยกระทำโดยสำคัญผิดในข้อเท็จจริงโดยจำเลยเข้าใจว่าผู้เสียหายจะแทงทำร้ายจำเลย จำเลยจึงได้กระทำไปเพื่อป้องกันตัวนั้น เห็นว่า ศาลได้หยิบยกเอาความสำคัญผิดของจำเลยดังกล่าวขึ้นวินิจฉัยให้เป็นคุณแก่จำเลยแล้วว่า จำเลยมีสิทธิที่จะกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดเพื่อป้องกันตัวได้ แต่จะต้องเป็นการป้องกันที่พอสมควรแก่เหตุ เมื่อจำเลยกระทำเกินสมควรแก่เหตุไปเช่นนี้ ก็ต้องฟังว่าการกระทำของจำเลยไม่เป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย
พิพากษายืน