คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6992/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์จำเลยตกลงกันโดยโจทก์ยอมให้จำเลยเบิกเงินล่วงหน้าและออกเงินทดรองค่าใช้จ่ายแทนจำเลย เมื่อจำเลยนำปลาไปขายให้โจทก์ก็จะมีการคิดบัญชีหักหนี้จากราคา ปลาเงินส่วนที่เหลือเป็นของจำเลย ข้อตกลงเช่นนี้ต้องด้วยลักษณะของสัญญาบัญชีเดินสะพัดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 856 ซึ่งไม่บังคับว่าจะต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือกรณีมิใช่จำเลยกู้ยืมเงินจากโจทก์โดยตรง แม้โจทก์ไม่มีหลักฐานการกู้ยืมเป็นหนังสือก็ฟ้องจำเลยได้ โจทก์บรรยายฟ้องว่า โจทก์ตกลงกับจำเลย ยอมให้จำเลยเบิกเงินล่วงหน้า และยอมออกเงินทดรองค่าใช้จ่ายอื่น ๆแทนจำเลย เมื่อจำเลยหาปลาได้แล้วจะต้องนำมาขายให้โจทก์ แล้วคิดหักบัญชีกัน แม้โจทก์ไม่ได้บรรยายฟ้องว่ามีการกู้เบิกเงินเกินบัญชีจากโจทก์เมื่อวันที่เท่าใดบ้าง เป็นจำนวนเงินเท่าใดและเป็นค่าอะไรบ้าง รายละเอียดเหล่านี้ปรากฏอยู่ในสำเนาเอกสารท้ายฟ้องแม้จำเลยจะอ้างว่าสำเนาภาพถ่ายไม่ชัดเจนอ่านไม่ออก ก็เป็นเพียงรายละเอียดที่จะนำสืบได้ในชั้นพิจารณา ฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 149 ถ้าคู่ความไม่ยอมชำระค่าอ้างเอกสาร ศาลมีอำนาจไม่รับฟังพยานหลักฐานนั้นได้ ซึ่งคำว่าไม่ยอม มีความหมายว่าจงใจฝ่าฝืนไม่ชำระ แต่ในกรณีหลงลืมซึ่งไม่จงใจฝ่าฝืน ศาลย่อมมีอำนาจรับชำระค่าอ้างเอกสารหลังจากมีคำพิพากษาแล้วได้ เพราะชำระเพียงครั้งเดียวรับฟังได้ถึงสามชั้นศาล ไม่มีกฎหมายบัญญัติห้ามมิให้รับฟังหากเพิ่งชำระในชั้นศาลสูง ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ คิดตามทุนทรัพย์ในชั้นอุทธรณ์การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 กำหนดให้จำเลยใช้ค่าทนายความแทนโจทก์มากเกินกว่าร้อยละ 3 จึงไม่ชอบ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ประกอบธุรกิจรับซื้อปลาจากชาวประมงโดยมีแพปลาชื่อแพปลาราชา จำเลยมีเรือประมงเมื่อจับปลาได้แล้วนำมาขายให้โจทก์ มีข้อตกลงกันว่าในการออกจับปลาแต่ละเที่ยวจำเลยให้โจทก์เป็นผู้ออกเงินค่าน้ำมันลงเรือ ค่าน้ำแข็งค่าน้ำและค่าอื่น ๆ และโจทก์ยอมให้จำเลยเบิกเงินล่วงหน้าเพื่อสำรองจ่ายในกิจการเรือประมงของจำเลย โดยจำเลยจะลงชื่อไว้ในใบเบิกเงินเบ็ดเตล็ดให้โจทก์เก็บไว้ฉบับหนึ่ง จำเลยเก็บไว้ฉบับหนึ่ง จำเลยยอมให้โจทก์หักเงินดังกล่าวจากราคาปลาตามจำนวนที่พอสมควร ต่อมาจำเลยผิดสัญญานำปลาไปขายให้ผู้อื่น ขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 462,031 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปีนับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่เคยตกลงกับโจทก์ตามที่โจทก์ฟ้องโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง โจทก์ไม่มีหลักฐานการกู้ยืมเป็นหนังสือจึงไม่อาจฟ้องร้องได้ และฟ้องโจทก์เคลือบคลุม ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 109,291 บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์ประกอบกิจการแพปลา รับซื้อปลาจากชาวประมง จำเลยเป็นชาวประมง เมื่อออกเรือจับปลาได้แล้วนำไปขายให้โจทก์ แต่การออกเรือจับปลาจะต้องลงทุนเป็นค่าใช้จ่ายต่าง ๆ โจทก์จำเลยตกลงกันโดยโจทก์ยอมให้จำเลยเบิกเงินล่วงหน้าและโจทก์ยังยอมออกเงินทดรองเป็นค่าใช้จ่ายดังกล่าวแทนจำเลย เมื่อจำเลยนำปลาไปขายให้โจทก์ก็จะมีการคิดบัญชีแล้วหักหนี้จากราคาปลา เงินส่วนที่เหลือเป็นของจำเลยข้อเท็จจริงเช่นนี้ถือได้ว่าเป็นข้อตกลงระหว่างโจทก์จำเลยให้หักทอนบัญชีอันเกิดจากกิจการในระหว่างเขาทั้งสองแล้วหักกลบลบหนี้ให้ทราบว่า ฝ่ายใดเป็นเจ้าหนี้ลูกหนี้ อันต้องด้วยลักษณะของสัญญาบัญชีเดินสะพัดตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 856 ซึ่งไม่บังคับว่าจะต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ กรณีมิใช่จำเลยกู้ยืมเงินโจทก์โดยตรงแม้โจทก์ไม่มีหลักฐานการกู้ยืมเป็นหนังสือก็ฟ้องจำเลยได้
โจทก์บรรยายฟ้องว่า โจทก์ตกลงกับจำเลยโดยโจทก์ยอมให้จำเลยเบิกเงินล่วงหน้า และโจทก์ยอมออกเงินทดรองค่าใช้จ่ายอื่น ๆแทนจำเลย เมื่อจำเลยหาปลาได้แล้วจะต้องนำมาขายให้โจทก์ แล้วคิดหักบัญชีกันในการเบิกเงินจำเลยจะลงชื่อไว้ในใบเบิกเงินเบ็ดเตล็ดให้โจทก์เก็บไว้ฉบับหนึ่งจำเลยเก็บไว้ฉบับหนึ่ง จำเลยยอมให้โจทก์หักเงินดังกล่าวจากราคาปลาตามจำนวนที่พอสมควรคำบรรยายฟ้องเช่นนี้เห็นได้ว่า โจทก์ได้แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาครบถ้วนบริบูรณ์ตามลักษณะของสัญญาบัญชีเดินสะพัด ทั้งโจทก์ยังได้แนบสำเนาใบเบิกเงินของจำเลยและสำเนาบัญชีแสดงรายละเอียดการหักทอนหนี้มาท้ายคำฟ้อง เพียงพอที่จะให้จำเลยเข้าใจและให้การต่อสู้คดีได้ ดังที่ปรากฏว่าจำเลยก็สามารถให้การต่อสู้คดีได้ถูกต้อง ฟ้องจึงไม่เคลือบคลุม ส่วนที่โจทก์ไม่ได้บรรยายฟ้องว่า มีการกู้เบิกเงินไปจากโจทก์เมื่อวันที่เท่าใดบ้าง เป็นจำนวนเงินเท่าใด และเป็นค่าอะไรบ้างนั้น รายละเอียดเหล่านี้มีปรากฏอยู่ในสำเนาใบเบิกเงินและสำเนาบัญชีหักทอนหนี้ ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของคำบรรยายฟ้อง แม้จำเลยจะอ้างว่าสำเนาเอกสารดังกล่าวเป็นภาพถ่ายที่ไม่ชัดเจนอ่านไม่ออก ก็เป็นเพียงรายละเอียดที่จะนำสืบได้ในชั้นพิจารณา โดยจำเลยสามารถขอดูได้จากต้นฉบับหรือสำเนาภาพถ่ายฉบับที่ชัดเจน ไม่ถึงกับเป็นเหตุให้ฟ้องเคลือบคลุม
ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 149 ถ้าคู่ความไม่ยอมชำระค่าอ้างเอกสาร ศาลมีอำนาจไม่รับฟังพยานเอกสารนั้นได้ ซึ่งคำว่า ไม่ยอม มีความหมายว่าจงใจฝ่าฝืนไม่ชำระ แต่ในกรณีหลงลืมซึ่งไม่จงใจฝ่าฝืน ศาลย่อมมีอำนาจรับค่าอ้างเอกสารหลังจากมีคำพิพากษาแล้วได้เพราะชำระเพียงครั้งเดียวรับฟังได้ถึงสามชั้นศาล ดังนั้น จะชำระในชั้นศาลใดย่อมไม่มีผลแตกต่างไม่มีกฎหมายบัญญัติห้ามมิให้รับฟังหากเพิ่งชำระในชั้นศาลสูง เมื่อชำระแล้วก็รับฟังได้
ปัญหาข้อกฎหมายข้อต่อไป จำเลยฎีกาว่า ทุนทรัพย์ในชั้นอุทธรณ์มีเพียง 109,291 บาท ศาลกำหนดค่าทนายความได้ไม่เกินร้อยละ 3 แต่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 กำหนดให้จำเลยใช้ค่าทนายความแทนโจทก์ถึง 4,000 บาท ซึ่งมากเกินกว่าร้อยละ 3 จึงขอให้กำหนดลงลง เห็นว่า ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์คิดตามทุนทรัพย์ในชั้นอุทธรณ์
พิพากษายืน เว้นแต่ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ให้จำเลยใช้แทนโจทก์เพียง 3,000 บาท

Share