คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3625/2527

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องเรียกที่ดินคืนจากจำเลยที่ 1 โดยขอให้เพิกถอนนิติกรรมซื้อขาย โอนใส่ชื่อโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินแทนจำเลยที่ 1 หากไม่สามารถทำได้ให้ใช้ราคาพร้อมค่าเสียหายซึ่งเป็นคดีเกี่ยวกับทรัพย์สินโดยตรง เมื่อปรากฏว่า ศาลแพ่งได้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยที่ 1 แล้ว โจทก์ย่อมไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 1

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อเดือนพฤษภาคม 2522 จำเลยที่ 1 ขอซื้อที่ดินโฉนดเลขที่ 14642 ของโจทก์ในราคา 1,710,000 บาท โดยจำเลยที่ 1 ต้องไถ่ถอนการขายฝากจากนางสำรวย เป็นเงิน 636,000 บาท ส่วนที่เหลือต้องจ่ายเป็นเช็คล่วงหน้าชำระหนี้แทนโจทก์ 6 ฉบับ และเมื่อโอนที่ดินเป็นของจำเลยที่ 1 แล้วจำเลยที่ 1 จะจำนองนำเงินเข้าบัญชีเป็นการใช้หนี้เงินตามเช็คที่ออกให้โจทก์ โจทก์หลงเชื่อรับเช็คทั้ง 6 ฉบับไว้ จำเลยที่ 1 ใช้อุบายหลอกลวงว่าให้โจทก์ขายที่ดินนี้ให้จำเลยที่ 2 ก่อนเพื่อทำให้ที่ดินมีราคาสูงขึ้น แล้วจำเลยที่ 2 ขายต่อให้จำเลยที่ 1แล้วจำเลยที่ 1 จึงนำมาจำนองกับจำเลยที่ 3 โจทก์โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินนี้ให้จำเลยที่ 2เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2522 จำเลยที่ 2 โอนต่อให้จำเลยที่ 1 จำเลยที่ 3 ช่วยจ่ายเงินค่าไถ่ถอนการขายฝากให้ก่อน และจำเลยที่ 1 จำนองที่ดินนี้ไว้กับจำเลยที่ 3 เท่าราคาซื้อ เป็นการรับจำนองโดยไม่สุจริต เป็นการสนับสนุนจำเลยที่ 1 ที่ 2 ในการทำนิติกรรม จำเลยทั้งสามคบคิดกันกระทำการโดยไม่สุจริต เช็คทั้งหมดที่จำเลยที่ 1สั่งจ่ายขึ้นเงินไม่ได้ โจทก์เสียที่ดินไปโดยไม่ได้รับเงินตอบแทนและโจทก์ได้บอกล้างนิติกรรมแล้ว ขอให้จำเลยทั้งสามร่วมกันหรือแทนกันทำการเพิกถอนนิติกรรมที่ดินโฉนดเลขที่ 14642 ใส่ชื่อโจทก์เป็นเจ้าของอย่างเดิมหากไม่จัดการให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนา หากไม่สามารถทำได้ให้ใช้ราคา

จำเลยที่ 2 ให้การว่าได้ทำสัญญาซื้อที่ดินจากโจทก์จริง เพราะจำเลยที่ 1 จ้างเพื่อทำให้ที่ดินมีราคาสูงขึ้น จำเลยที่ 1 จ่ายเช็คชำระค่าที่ดินให้โจทก์แล้วจำเลยที่ 3เป็นผู้จ่ายเงินไถ่ถอนการขายฝาก จำเลยที่ 2 ทำโอนขายที่ดินนี้ให้จำเลยที่ 1 โดยไม่มีการชำระเงิน จำเลยที่ 1 เอาที่ดินจำนองกับจำเลยที่ 3 จำเลยทั้งสามร่วมกันทำสัญญาซื้อขายและสัญญาจำนองโดยไม่ได้มีการชำระเงินกัน

จำเลยที่ 3 ให้การว่า จำเลยที่ 3 รับจำนองที่ดินนี้โดยสุจริต

โจทก์ยื่นคำแถลงว่า จำเลยที่ 1 ถูกศาลแพ่งพิพากษาให้ล้มละลาย และมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยที่ 1 ไว้เด็ดขาดเมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2522 ขอให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เข้าดำเนินคดีแทนจำเลยที่ 1

เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ยื่นคำแถลงว่าจำเลยที่ 1 ถูกศาลแพ่งมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2522 ก่อนโจทก์ฟ้องคดีนี้ คดีนี้จึงไม่ใช่คดีแพ่งอันเกี่ยวกับทรัพย์สินของลูกหนี้ ซึ่งค้างพิจารณาอยู่ในศาลในขณะที่มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ตาม มาตรา 25 แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 จึงไม่ขอเข้าว่าคดีแทนจำเลยที่ 1

โจทก์ยื่นคำร้องคัดค้านว่า คดีที่พิพาทกันนี้ เป็นทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 ประกอบกับโจทก์ฟ้องเพิกถอนนิติกรรม มิได้ขอให้จำเลยที่ 1 ชำระหนี้ เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จึงมีอำนาจต่อสู้คดีแทนจำเลยที่ 1 ตามมาตรา 22(3) ไม่ใช่ตาม มาตรา 25

ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ศาลมีคำสั่งรับฟ้องคดีนี้หลังจากจำเลยที่ 1 ถูกศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดแล้ว โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 1 ที่ศาลสั่งรับฟ้องไว้เป็นการสั่งไปโดยผิดหวัง จึงมีคำสั่งให้เพิกถอนคำสั่งเดิมสำหรับจำเลยที่ 1 และมีคำสั่งใหม่ว่าไม่รับฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 จำหน่ายคดี ให้ดำเนินการพิจารณาคดีสำหรับจำเลยที่ 2 ที่ 3 ต่อไป

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกาว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 1

ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยที่ 1 ถูกศาลแพ่งมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดเมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2522 โจทก์นำคดีนี้มาฟ้องจำเลยที่ 1 ภายหลัง คือเมื่อวันที่12 มิถุนายน 2523 โจทก์ฎีกาว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 1 ได้ เพราะตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 26, 27 ห้ามเจ้าหนี้ฟ้องคดีแพ่งเกี่ยวกับหนี้ซึ่งอาจขอรับชำระได้ ห้ามเฉพาะหนี้เงิน แต่หนี้ที่โจทก์ฟ้องในคดีนี้เกี่ยวกับการกระทำงดเว้นกระทำ ให้ใส่ชื่อโจทก์เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ที่ดินและให้เพิกถอนนิติกรรม จึงไม่ต้องห้ามศาลฎีกาวินิจฉัยว่า พระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483มาตรา 22(3) ประกอบกับมาตรา 26, 27 บัญญัติถึงอำนาจฟ้องของเจ้าหนี้ว่าเมื่อศาลพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้แล้ว เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จึงมีอำนาจต่อสู้คดีใด ๆเกี่ยวกับทรัพย์สินของลูกหนี้ได้แต่ผู้เดียว หากเป็นคดีเกี่ยวกับทรัพย์สิน คดีนี้โจทก์ฟ้องเรียกที่ดินคืนจากจำเลยที่ 1 โดยขอให้เพิกถอนนิติกรรมซื้อขาย โอนใส่ชื่อโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินแทนชื่อจำเลยที่ 1 หากไม่สามารถทำได้ให้ใช้ราคาที่ดินและค่าเสียหาย ซึ่งเป็นคดีเกี่ยวกับทรัพย์สินโดยตรง จึงต้องห้ามตามกฎหมายชัดแจ้งโจทก์ย่อมไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 1

พิพากษายืน

Share