คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6984/2544

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

จำเลยชักพาผู้เสียหายและ ส. คนรักผู้เสียหายไปยังกระท่อมต่อมา ส. กลัวว่าจะเกิดเรื่องไม่ดีจึงคิดจะกลับ ขณะที่ ส. กำลังติดเครื่องรถจักรยานยนต์และผู้เสียหายจะนั่งซ้อนท้าย จำเลยได้เข้ามาล็อกคอผู้เสียหายลากลงมาและกอดปล้ำผู้เสียหาย จากนั้นมี ต., จ., ช. เข้ามาจับแขนขาพาไปที่แคร่ข้างกระท่อมช่วยกันถอดกางเกงผู้เสียหายแล้วต. ข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายเป็นคนแรกโดยมี ช. ช่วยจับแขนขาผู้เสียหาย ระหว่างนี้จำเลยซึ่งอยู่บริเวณแคร่ได้ตะโกนบอกให้ จ. ไปตามหา ส. ซึ่งหนีออกไปหาคนช่วยเหลือแล้วจำเลยและ จ. วิ่งออกไปสะกัดกั้นมิให้ ส. ไปร้องขอความช่วยเหลือได้ หลังจาก ต. กระทำชำเราเสร็จแล้ว ช. ได้กระทำชำเราเป็นคนต่อไป ดังนี้ แม้จำเลยจะมิได้ช่วยจับแขนขาผู้เสียหายระหว่างที่ ต. หรือ ช. ทำการกระทำชำเราแต่การกระทำของจำเลยดังกล่าวนับได้ว่าเป็นตัวการในการร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายอันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276 วรรคสอง แล้ว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกับพวกอีก 3 คน ซึ่งหลบหนียังไม่ได้ตัวมาฟ้องร่วมกันข่มขืนกระทำชำเรานางสาว…ผู้เสียหาย โดยร่วมกันใช้กำลังประทุษร้ายจับแขน ขาและล็อกคอ กอดปล้ำถอดกางเกงผู้เสียหายแล้วร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายโดยผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันข่มขืนกระทำชำเราจนสำเร็จความใคร่หลายครั้ง อันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิง โดยผู้เสียหายอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 276, 83, 58 บวกโทษที่รอการลงโทษไว้ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1487/2538 ของศาลชั้นต้นเข้ากับโทษของจำเลยในคดีนี้
จำเลยให้การปฏิเสธ แต่รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้บวกโทษ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 276 วรรคสอง ประกอบมาตรา 83 จำคุก 15 ปี บวกโทษที่รอไว้ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1487/2538 ของศาลชั้นต้น เข้ากับคดีนี้เป็นจำคุก 16 ปี 1 เดือน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยได้ร่วมกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276 วรรคสองดังที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาหรือไม่ โดยจำเลยฎีกาว่า จำเลยไม่ได้ล็อกคอผู้เสียหายและจำเลยมิได้ร่วมจับแขนจับขาหรือกดตัวผู้เสียหายเพื่อให้บุคคลอื่นกระทำชำเราผู้เสียหายดังที่ผู้เสียหายและนายสุรชัยพยานโจทก์เบิกความแต่ประการใด เห็นว่าผู้เสียหายเบิกความยืนยันว่า จำเลยเป็นผู้ล็อกคอผู้เสียหายขณะจะขึ้นนั่งคร่อมรถจักรยานยนต์คันที่นายสุรชัยกำลังติดเครื่องยนต์อยู่ และนายสุรชัยเบิกความว่า ขณะก้มดูหัวเทียนรถอยู่พอเงยหน้าขึ้นมาเห็นจำเลยเหวี่ยงผู้เสียหายลงที่พื้น ถ้อยคำของผู้เสียหายและนายสุรชัยพยานโจทก์ทั้งสองซึ่งร่วมเดินทางไปยังกระท่อมที่เกิดเหตุด้วยกันกับจำเลยโดยจำเลยเป็นผู้ชักชวนให้ไปยังกระท่อมดังกล่าวไม่ปรากฏว่าพยานโจทก์ทั้งสองนี้มีสาเหตุโกรธเคืองจำเลยจนถึงกับจะแกล้งเบิกความปรักปรำจำเลยให้ต้องได้รับโทษ ผู้เสียหายและนายสุรชัยเห็นการกระทำของจำเลยได้โดยอาศัยแสงสว่างของดวงจันทร์เพราะขณะเกิดเหตุเป็นคืนเดือนหงาย จำเลยอยู่ใกล้ตัวผู้เสียหาย ถ้อยคำของผู้เสียหายกับนายสุรชัยสอดคล้องกัน กล่าวคือ เมื่อจำเลยล็อกคอผู้เสียหายแล้วจะต้องเหวี่ยงตัวผู้เสียหายเพื่อให้ล้มลงหรือเพื่อลากตัวไปยังแคร่ซึ่งตั้งอยู่ข้างกระท่อมเหตุการณ์การที่ถูกคนร้ายข่มขืนกระทำชำเรานั้นหากไม่เป็นความจริงและไม่ได้เกิดขึ้นกับผู้เสียหายซึ่งเป็นเด็กนักเรียนอายุเพียง 15 ปีเศษ แล้วคงจะไม่กล่าวอ้างให้ตนเองต้องได้รับความเสื่อมเสียเป็นแน่ ทั้งการที่นายสุรชัยเบิกความว่า ได้ขอร้องพวกคนร้ายว่าอย่าทำอะไรแฟนผมเลย แต่คนร้ายก็ไม่ฟังและบอกให้นายสุรชัยอยู่เฉย ๆ นั้น นายสุรชัยคงจะหมายถึงว่าพวกคนร้ายนั้นจะต้องทำการข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหาย ฉะนั้น เมื่อมีการตรวจร่างกายและอวัยวะเพศของผู้เสียหายภายหลังเกิดเหตุเล็กน้อยพบว่ามีการร่วมเพศ จึงฟังข้อเท็จจริงได้ว่าผู้เสียหายถูกข่มขืนกระทำชำเราจริงข้อที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยเป็นเด็กไม่กล้าขัดขืนคนร้ายอื่น ๆ ไม่ให้ข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายนั้นฟังไม่ขึ้นเพราะจำเลยเป็นผู้ชักพาผู้เสียหายและนายสุรชัยไปยังที่เกิดเหตุ ส่วนข้อที่ฎีกาว่า เหตุที่ผู้เสียหายและนายสุรชัยเบิกความว่าจำเลยล็อกคอผู้เสียหายก็เป็นไปตามคำขอของจ่าสิบตำรวจสถิตย์ โอภาศรี อาของผู้เสียหายซึ่งบังคับให้ผู้เสียหายและนายสุรชัยให้เบิกความอย่างนั้นเนื่องจากผู้กระทำผิดจริงได้หลบหนีไปหมดแล้วมิฉะนั้นจะไม่ได้ตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษหรือได้ค่าสินไหมทดแทนประกอบกับอาของผู้เสียหายต้องการจะดำเนินคดีแก่นายสุรชัยด้วยเพราะเป็นตัวการที่พาผู้เสียหายออกจากบ้านไปจนเกิดเหตุ โดยนายสุรชัยก็ถูกเจ้าพนักงานตำรวจนำไปขังไว้ เมื่อนายสุรชัยยอมให้การดังกล่าวจึงกันไว้เป็นพยานแล้วปล่อยออกมานั้น ก็เป็นข้ออ้างที่เลื่อนลอยขาดพยานหลักฐานสนับสนุนให้ฟังเป็นความจริงได้และทนายจำเลยก็ไม่ได้ถามค้านพยานโจทก์ถึงเรื่องดังกล่าวเพื่อให้พยานโจทก์ได้อธิบายว่าเป็นจริงหรือไม่อย่างไร นอกจากนี้จากพยานหลักฐานก็ไม่ปรากฏว่ามีการกันนายสุรชัยไว้เป็นพยานแต่อย่างใด ทั้งการที่จำเลยตะโกนบอกให้นายธงชัยวิ่งไปตามหานายสุรชัยระหว่างที่นายเตี้ยข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายโดยมีนายเชียรช่วยจับแขนขาผู้เสียหาย แล้วจำเลยและนายธงชัยวิ่งออกไปนั้น ก็โดยมีเจตนาเพื่อสะกัดกั้นมิให้นายสุรชัยร้องขอความช่วยเหลือได้มิใช่เป็นเรื่องที่จำเลยเป็นห่วงนายสุรชัยตามที่จำเลยฎีกาแต่อย่างใด พยานหลักฐานจำเลยไม่อาจหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ได้ คดีฟังได้มั่นคงว่า จำเลยได้ชักพาผู้เสียหายและนายสุรชัยคนรักผู้เสียหายไปยังกระท่อมที่เกิดเหตุ ต่อมานายสุรชัยกลัวว่าจะเกิดเรื่องไม่ดีจึงคิดจะกลับ ขณะที่นายสุรชัยกำลังติดเครื่องรถจักรยานยนต์และผู้เสียหายจะนั่งซ้อนท้าย จำเลยได้เข้ามาล็อกคอผู้เสียหายลากลงมาและกอดปล้ำผู้เสียหาย จากนั้นมีนายเตี้ยนายแจ็คและนายเชียรเข้ามาจับแขนขาผู้เสียหายพาไปที่แคร่ข้างกระท่อมแล้วช่วยกันถอดกางเกงผู้เสียหาย นายสุรชัยจะเข้าไปช่วยเหลือแต่ถูกนายเชียรขัดขวาง นายเตี้ยข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายเป็นคนแรกโดยมีนายเชียรช่วยจับแขนขาผู้เสียหาย ระหว่างนี้จำเลยซึ่งอยู่บริเวณแคร่ได้ตะโกนบอกให้นายแจ็คไปตามหานายสุรชัยซึ่งหนีออกไปหาคนช่วยเหลือแล้วจำเลยและนายแจ็ควิ่งออกไปเพื่อหวังสะกัดกั้นมิให้นายสุรชัยไปร้องขอความช่วยเหลือได้ หลังจากนายเตี้ยข่มขืนกระทำชำเราเสร็จแล้ว นายเชียรได้ข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายเป็นคนต่อไป ดังนี้ แม้จำเลยจะมิได้ช่วยจับแขนขาผู้เสียหายระหว่างที่นายเตี้ยหรือนายเชียรทำการข่มขืนกระทำชำเราด้วยก็ตาม แต่การกระทำของจำเลยดังกล่าวนับได้ว่าเป็นตัวการในการร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายอันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276 วรรคสอง แล้ว”
พิพากษายืน

Share